ลองทำชุดแรก

       เมื่อขึ้นปี 4 กลุ่มนักกิจกรรม นักทำละคร นักดนตรีลูกทุ่งสถาปัตย์ ฯลฯ อันประกอบด้วย ประภาส ชลศรานนท์, นิติพงษ์ ห่อนาค, วัชระ ปานเอี่ยม และเพื่อนๆ ก็ยกขบวนกันเข้าไปหาลำไพ่พิเศษเขียนบทรายการโทรทัศน์ให้กับเจเอสแอล หลังจากทำละครคณะหลายเรื่องจนรุ่นพี่เห็นความสามารถ
       “พี่ตู้เห็นว่าฝีมือดีก็ชวนพวกเราไปทำทีวี ชวนจิกคนแรก ให้มาเขียนบทเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละ ตอนหลังๆ เพื่อนๆ ก็ตามเข้ามา สลับกันเข้าไปเขียนบท ไปแสดงละครสั้นอะไรมั่ง โค้กก็เข้าไปเล่นละคร ส่วนทางพี่โย (ภิญโญ รู้ธรรม) ก็เข้าไปเล่นหนังสืบยัดไส้”
       นิติพงษ์ทบทวนความหลังให้ฟัง

    ในเวลานั้นประภาสได้เข้าไปรับงานเขียนบทให้กับเจเอสแอล ทำรายการ ‘น้ำแข็งใส่น้ำหวาน’ ซึ่งเป็นรายการพิเศษวันหยุด ที่มักจะเชิญแขกพิเศษไปร้องเพลง เขาเล่าไว้ว่า
      “ช่วงนั้นเคยเขียนบทให้เจี๊ยบไปร้องกับอัญชลีบ้าง ร้องกับแหวนบ้าง (ฐิติมา สุตสุนทร) ทำโชว์ให้สุชาติ ชวางกูรบ้าง ตอนนั้นยังไม่มีใครมีชื่อสักคน ทำละครเพลงแบบนี้ก็เลยต้องเข้าห้องอัดบ่อย เพราะในรายการเป็นการถ่ายทำแบบลิปซิงก์”
      การที่ได้เข้าห้องอัดบ่อยๆ ของพวกเขา ทำให้ความคิดเรื่องการทำเพลงเริ่มวิ่งวนเข้ามาในสมอง
      “มันเป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะมีโชว์ทางทีวีที่เราต้องไปร้องอยู่บ่อยๆ อยู่แล้ว เอาดี้ไปเล่น ไปร้อง เอาผมไปร้องบ้าง รุ่นน้องมาช่วยกันร้องบ้าง มันจะมีการร้องเพลงอย่างนี้ เรื่อยๆ” วัชระเล่า
      “เพราะฉะนั้นการลุกขึ้นมาทำเทปชุดหนึ่ง มันก็เหมือนไม่ได้ชวนกันพิเศษอะไร ร้องอยู่แล้ว เรื่องปกติ”

      ในส่วนของประภาส เขาบอกว่าตัวเขานั้นอยากทำอะไรที่แปลกออกไป ให้ต่างไปจากเพลงที่มีอยู่ในสมัยนั้น เมื่ออยากทำเทปขึ้นมา จึงเอาเพลงที่เคยแต่งไว้ตั้งแต่มัธยม ผสมเพลงที่แต่งใหม่ ในช่วงอยู่สถาปัตย์ อย่างเพลง ‘หวาน’ และ ‘เที่ยวละไม’ มาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่
      “ตอนนั้นพี่สมพงษ์ วรรณภิญโญ (วิศิษฐ์วานิช) ที่เจเอสแอลเขามีรายการวิทยุ รู้จักกับห้างเมโทรฯ ห้างแผ่นเสียงอะไรต่ออะไรก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเทปยังไม่ค่อยบูมเลย” วัชระเล่าต่อ
      “จนวันหนึ่ง จิกก็หิ้วกีตาร์จูงมือกันเข้าไปหาพี่ๆ เจ้าของเจเอสแอลทั้ง 3 คน ซึ่งกำลังนั่งกินข้าวเที่ยงกัน ถามพวกพี่ๆ เขาว่าอยากลองทำเทปไหมครับ แล้วก็เล่นเพลงให้ฟัง พวกเพลง ‘เธอ กับฉันและคนอื่นๆ’ ‘หวาน’ ‘วณิพก’ ก็ไม่ได้คิดอะไร เราร้องไป พี่เขาก็กินข้าวไป พอร้องเสร็จ พี่ๆ เขาก็บอกว่า เออ...น่าสนใจ แต่จะลงทุนยังไงเหรอ
      บังเอิญพี่สมพงษ์นั้น แกพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง ก็บอกว่า เอาสิ สนุกดี ใช้เงินไม่เยอะหรอก ถ้าไม่ต้องโปรโมตมาก พวกพี่ๆ เขาก็เลยตกลงว่าจะออกทุนให้”       เมื่อได้ทุนแล้วก็ถึงเวลาจะต้องทำงานดนตรีจริงๆ คราวนี้พวกเขาต้องนึกว่าใครล่ะจะเป็นที่ปรึกษาในเรื่องนี้ได้ เพราะพวกเขาเองก็ไม่ใช่คนที่เก่งกาจเรื่องดนตรี ไม่รู้เรื่องการใช้ห้องอัดเสียงเลย
       จึงคิดถึงคนคนหนึ่งซึ่งนับถือกันอยู่ก็คือ พี่เต๋อ-เรวัต ขึ้นมา นิติพงษ์ทบทวนถึงเหตุที่ทำให้ได้รู้จักกับพี่เต๋อว่า
      “ทางเจเอสแอลเขาเชิญพี่เต๋อไปเล่นโชว์ จิกเขียนบทตอนนั้นให้พี่เต๋อแสดง คือไปกำกับฯ แกน่ะ
      แกเห็น ก็บอกว่า เออ...ไอ้เด็กพวกนี้มันดีโว้ย รู้จักกันไว้คบๆ กันไว้”
      ในช่วงนั้นเรวัต พุทธินันทน์ยังเล่นดนตรีอยู่กับ ดิ โอเรียนเต็ล ฟังก์ ประจำอยู่ที่โรงแรมมณเฑียร ถนนสุรวงศ์ พวกเขาจึงพากันไปหาพี่เต๋อที่นั่น ไปปรึกษา จนกระทั่งจากปรึกษาก็เลยกลายเป็นขอร้องให้มาโปรดิวซ์ให้ ทั้งๆ ที่เรวัตก็ไม่เคยทำเพลงไทยมาก่อน
      ประภาส-วัชระ และนิติพงษ์ กลับมาลุยทำเทปตัวอย่างกันอย่างตื่นเต้น หลังจากที่พี่เต๋อรับปากจะดูแลการทำเทปเพลงของพวกเขา
      “เราซ้อมกันที่ใต้ถุนคณะแล้วมาอัดเสียง ทำเทปตัวอย่างกันที่บ้านผม” วัชระ ปานเอี่ยมเล่าถึงขั้นตอนการทำเทปตัวอย่างให้พี่เต๋อฟัง
      “ใช้เทปกระเป๋าหิ้วนี่แหละอัดเสียง เราก็สนุกของเราไปก่อน ร้องเพลงใส่เทปกันไปเรื่อยๆ เล่นกีตาร์ไป
      ช่วยๆ กัน มั่วๆ กันอยู่ตรงนั้น มีกีตาร์สองสามตัว แล้วก็หิ้วไปบ้านเพื่อนที่มีเปียโน ใครเคาะเปียโนได้ก็ให้เขาช่วยเคาะให้หน่อย แต่ฟังแล้วมันไม่น่าจะเป็นเพลงได้
      “ตอนนั้นฝึกงานอยู่ด้วยที่เจเอสแอล ไปอัดกันที่ออฟฟิศ รุ่นพี่ก็เทปกระเป๋าหิ้วเหมือนกัน เอากีตาร์มาตัว ใช้เวลากลางคืนสงบๆ หน่อย”

       หลังทำเทปตัวอย่างเสร็จ พวกเขาก็ดิ่งไปหาเรวัต พุทธินันทน์ทันที
      “แต่พี่เต๋อฟังไม่ออก” วัชระเล่าอย่างขำๆ
      “จึงถูก พี่เต๋อ ไล่กลับมาทำเทปตัวอย่างใหม่อีกรอบ
     “ เฮ้ย! ร้องใหม่ เอาร้องชัดๆ อยากรู้ทำนองเป็นยังไง แล้วเอาเนื้อเสียงจริงๆ
      ก็กลับไปร้องกันใหม่ เล่นดนตรีเบาๆ ร้องใหม่มันก็ชัดขึ้น”
      แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของพี่เต๋ออยู่ดี เพราะเพลงบางเพลงยังไม่ดีพอ และเสียงร้องของวัชระ ปานเอี่ยมกับนิติพงษ์ ห่อนาคก็ไม่ผ่าน
      “พี่เต๋อบอกไอ้ดี้ร้องเพี้ยนต่ำ แก้ยาก อย่างผมนี่ร้องเพี้ยนสูง แต่พอลดได้”
      น้ำเสียงของพี่เต๋อในวันนั้น วัชระ ปานเอี่ยมยังจำได้อย่างแม่นยำถึงทุกวันนี้
      ในขณะที่นิติพงษ์ก็จำคำของพี่เต๋อได้ เช่นกัน
      “พี่เต๋อบอกผมร้องเพลงไม่ได้ ไม่ผ่าน ก็เคยร้องแต่เพลงฝรั่ง พอเพลงไทย อู้ย...กูจะร้องแบบไหนวะ ไอ้เจี๊ยบร้องดี โอเคเจี๊ยบร้อง”

      แต่พี่เต๋อก็ไม่ยอมให้วัชระ ปานเอี่ยมร้องคนเดียว เพราะเห็นว่าบางเพลงไม่เหมาะกับน้ำเสียงเย็นๆ ของเขา
      “พี่เต๋อเห็นว่าน่าจะให้นักร้องที่โปรเฟสชั่นนัลหน่อยมาร้อง ใครล่ะ ไม่รู้จัก มีรู้จักแต่จะลากเขามาร้องได้อย่างไร พอดีพี่เต๋อแกรู้จักพี่เล็ก ก็ลากพี่เล็กมา”

อ่านต่อ...