พี่ก้าเข้ามาทำหนังสือเรื่องราวบนแผ่นไม้ได้อย่างไร เริ่มมาจากตรงไหน
เรื่องทำหนังสือนี่เท่าที่รู้คือคิดกันมาตั้งนานแล้ว มันอาจเริ่มต้นมาจากตอนจัดคอนเสิร์ตยูนิเซฟ คือคอนเสิร์ตแก้คิดถึงเนี่ยจัดกันแล้วมันก็มีเงินเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง รวมจากเงินค่าลิขสิทธิ์วิดีโอเทปคอนเสิร์ตอะไรด้วย เขาก็นำเงินมาก่อตั้งกองทุนเฉลียง มีการเอาเงินไปมอบทุนเป็นการศึกษาให้เด็กๆ แล้ววันที่เขามอบทุนกัน ผมก็ได้เข้าสู่วงการเฉลียงโดยการชักนำของพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง ตอนนั้นผมทำงานเป็นฝ่ายศิลป์ของกะทิกะลา ที่แนะนำให้ผมรู้จักกับพี่จิก พี่ดี้ พี่ๆ เฉลียง ประมาณว่าพี่จิกกำลังหาคนทำหนังสือเล่มนี้อยู่ แต่ยังไม่ลงตัว และพี่จุ้ยก็ได้มาเริ่มโดยแนะนำให้รู้จัก แสดงว่าแกคิดกันแล้วว่าน่าจะทำหนังสือน่ะ และเท่าที่ผมรู้มา แกคิดจะทำกันมานานมากแล้ว แต่ทำไม่เสร็จ ไม่มีใครเริ่ม
แล้วงานนี้ก็ทำให้ผมได้รู้จักพี่เจ๊า ซึ่งผมก็รู้จักพี่เจ๊ามาตั้งนานแล้ว แต่งานนั้นทำให้ได้รู้ว่า พี่เจ๊าเป็นเลขากองทุนเฉลียงที่ตั้งขึ้นมา แล้วจากงานมอบทุนนั้นมันก็เงียบหายไป หนังสือเฉลียงก็เงียบหายไปด้วย แต่ยังมีผู้ริเริ่มทำคือพวกชาวศิษย์สะดือ คือพี่จุ้ย เวลาเขาแจกงาน เขาจะมาถามทำนองว่า จะทำอย่างนี้อย่างนี้นะ ทำเปล่า ทำเปล่า ประมาณว่าพี่กาเหว่า (ชลลดา เตียวสุวรรณ) ยังไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ไม่ได้รับปากอะไร บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ ก็เอ้าลองคุยกันดูก่อนก็ได้พี่ คือพวกเราจะเป็นประมาณนี้ ตัวผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำหนังสือเฉลียงจริงๆ หรือเปล่า แล้วหนังสือเฉลียงคืออะไรยังไม่รู้เลย แต่เหมือนให้พี่จิกรู้จักไว้ก่อนว่าคนนี้นะ คนนั้นนะจะทำ แล้วพี่กาเหว่ากับผมก็จะจำกันเรื่อยมาว่าจะทำหนังสือเฉลียงกัน
แล้วหลังจากนั้นพี่กาเหว่าประมาณว่าคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี ก็ไปบอกพี่จุ้ยขอสละสิทธิ์ในการทำ

ตัวผมเองเป็นคนทำอาร์ตเวิร์ก ก็ไม่เกี่ยวไม่รู้ว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไร ทีนี้กลายเป็นว่าเรื่องก็มาตกอยู่ที่พี่แจ๋ว ('ปราย พันแสง) แต่จากพี่กาเหว่ามาพี่แจ๋วได้ไงไม่รู้ แต่รู้ว่า 'ปราย พันแสง ทำต้องเด็ด เราก็รอได้ใครทำก็ได้ ผมก็ happy ทั้งนั้น แล้วพี่แจ๋วก็เริ่มโดยไประดมทีมงาน เริ่มไปสัมภาษณ์กันแล้ว เริ่มมีข่าวว่าเค้าเริ่มกันแล้วนะโว๊ย แต่ก็เริ่มกันแบบช้าๆ นานๆ คือพี่แจ๋วจะใช้แรงเยอะมาก ใช้เวลาทำนานมาก ประมาณว่าแกทำประมาณ 2 ปี เท่าที่รู้นะ แกก็ไปรวบรวมข้อมูลทั้งหมดทั้งปวง คือใช้เวลาทำเนื้อหานานมากจนผมเองไปทำหนังสือให้พี่จิก ไปทำสำนักพิมพ์แม่ขมองอิ่มกับมติชนไปตั้งเยอะแล้ว หนังสือเฉลียงยังไปไม่ถึงไหนเลย ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนช่วงที่พี่จิกมาตั้งบริษัทกระดาษพ่อดินสอแม่ ก็ได้เจอพี่ต้อง พี่'ปราย พันแสง เป็นบรรยากาศแบบเฮ้ยอยู่ใกล้ๆ กันเจอกันบ่อยๆ งานเริ่มคืบหน้าไปเรื่อยๆ พี่แจ๋วเริ่มส่งต้นฉบับมาหนาปึ้กเลย แบบเห็นต้นฉบับแล้วตกใจ แต่พี่จิกยังอยากได้อะไรที่มากกว่าพี่แจ๋วทำ แล้วเกิดพุทธิปัญญาว่าจะทำคอนเสิร์ตเลย ซึ่งมันก็มีมาเรื่อยๆ หลังจากคอนเสิร์ตแก้คิดถึงซักประมาณ 2 ปี พอปีที่ 3 ก็เริ่มมีคนมาถามพี่จิก พี่จุ้ย หรือทุกๆ คนว่า ทำไมไม่มีคอนเสิร์ตอีก พี่ๆ เฉลียงคงคิดกันเรื่อยมา แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ วันหนึ่งผมก็ได้รู้ว่าจะมีคอนเสิร์ตแล้ว และต้องมีหนังสือด้วย หนังสือเล่มนี้จะเหมือนกับเป็นอัตชีวประวัติของเฉลียงแบบอย่างหนา แล้วต้องมีเพลงพิเศษ ให้สมกับที่รอคอยมา 5-6 ปี
พอรู้ว่าต้องทำหนังสือแล้ว เริ่มทำอย่างไร

มันก็แค่รู้ว่าต้องทำแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เพราะยังไม่มีเนื้อหามาให้ทำ คือเนื้อหามันก็มีต้นฉบับที่พี่แจ๋วทำไว้ แต่พี่จิกยังมีความต้องการอื่นๆ มากกว่าทีมที่พี่แจ๋วทำซึ่งมีความสมบูรณ์ในระดับหนึ่ง
เช่นอะไร ความต้องการอื่น
เช่นที่พี่จิกต้องการให้มีคนมาช่วยตกแต่งมันโดยคนที่รู้เรื่องราวของเฉลียงเยอะๆ และประสานความต้องการของทุกคน เพราะมันเป็นประวัติร่วมและเค้ามองไม่เห็นใครนอกจากพี่เจ๊าเลขากองทุนนี่แหละ ซึ่งผมบอกได้เลยนะ เป็นการทำงานที่ทำให้พี่เจ๊ายุ่งเอาการ เพราะว่ามีก้อนๆ หนึ่งที่พี่แจ๋วทำมา แต่อยากได้ที่ถูกใจมากกว่านี้ ก็ไม่ได้บอกว่าก้อนนี้ไม่ดีนะ ก้อนนี้ก็ชอบ แต่ว่าอยากได้อะไรไม่รู้ลอยๆ เป็นก๊าซบนอากาศ พอพี่จิกเริ่มลงมาดูมากขึ้น จริงจังมากขึ้น จนกระทั่งพี่เจ๊าลงมาดูแล ผมก็ต้องถูกเรียกไปตอบ ไปทำงานละ เพราะมีต้นฉบับมาให้ดู แล้วก็ให้ตายเถอะ วันที่เห็นต้นฉบับก็ยังไม่รู้ว่าทำยังไง เพราะรูปข้อมูลมันน้อยมาก คือมีข้อมูลแต่ไม่มี source มาประกอบหนังสือเล่มหนึ่งให้ดีได้ แต่ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เค้าเริ่มเตรียมงานคอนเสิร์ต ผมก็เริ่มอาศัยนัดถ่ายรูป ใครไม่ทำอะไรไม่รู้ นัดถ่ายรูปก่อน ให้รู้สึกว่าเราทำจริงนะ เป็นความตั้งใจว่าอยากให้ดีด้วย
พอไปถ่ายรูปครั้งที่ 1 พี่ๆ ก็เฮ้ยถ่ายรูปเลยเหรอ มีอะไรเหรอ จะเป็นยังไง คือเราก็เริ่มเอาไอเดียไปเสนอกับพี่ๆ วงเฉลียง เค้าก็ชอบ รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกดี เฮ้ยมันมีหนังสือเว้ย ผมก็เริ่มขอรูปก็ผ่านทางพี่เจ๊าแหละ เหมือนพี่เจ๊ามารับหน้าที่เป็น centre เป็นบรรณาธิการในการควบคุมที่ไม่ได้ดูงานศิลปะ เรื่องนี้แบ่งง่ายมากคือพี่ดูเรื่องศิลปะที่ไม่ใช่เนื้อหา ส่วนพี่เจ๊าดูเรื่องตัวอักษร คือแบ่งหน้าที่กันชัดเจน พี่เจ๊าก็เริ่มทวง ทวงข้อมูลที่พี่เจ๊าขาด ทวงรูปให้ด้วย โดย source สำคัญก็คือพี่เกี๊ยง รูปพี่เกี๊ยงเยอะมาก พี่เกี๊ยงกับพี่เจี๊ยบจะเป็นคนเก็บของเยอะ พอพี่ๆ เริ่มค้นก็เริ่มเจอ เฮ้ย มีนี่หว่า เฮ้ย กูก็มี ก็เริ่มคิดออกว่ามีอะไร พี่เกี๊ยงจะมาคนแรกเลย ของมาเยอะมาก รูป 7-8 อัลบั้ม คือรูปสมัยแสดงคอนเสิร์ต รูปตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่'ถาปัตย์เลย รูปที่แฟนเพลงส่งมาให้ คือพี่เกี๊ยงจะเก็บมีระเบียบ แล้วแกหวงมาก ทวงยิกเลย ทุกทีที่เจอหน้ากันแกจะถามว่าเสร็จหรือยัง เมื่อไหร่จะคืน ซึ่งก็ไม่แปลกใจว่าทำไมแกหวง แกเก็บดี และแผ่นเสียงทุกแผ่นแกเป็นคนเดียวที่มีครบ ของเฉลียงมีทุกแผ่น แผ่นเสียง เทป รูปถ่าย และเรื่องราวบทสัมภาษณ์ มีหมดทุกอย่าง มีเยอะ ผมก็มีของๆ ผมนะ เพราะผมเองเป็นแฟนเพลงเฉลียง ผมก็เก็บของที่ไม่ใช่มุมศิลปิน เป็นมุมแฟนเพลงเขาเก็บ
เช่นอะไรบ้างที่แฟนเพลงเก็บ
ตั๋ว บัตรคอนเสิร์ต พี่ๆ เขาไม่มี พี่ๆ เขาไม่เคยซื้อบัตรดูคอนเสิร์ต มีแต่บัตรสตาฟฟ์ หรือสูจิบัตรบางงานพี่จะมี หรือโปสเตอร์ แต่โปสเตอร์พี่เกี๊ยงก็มีมี พี่เกี๊ยงมีทุกอย่าง พี่เจ๊าเองก็ไป post ในเว็บไทยมุงว่า ใครเป็นแฟนเฉลียง เขาจะทำหนังสืออย่างนี้ ก็เริ่มมีคนเข้ามา ต่อมาก็พัฒนาเป็น chaliang.com นี่แหละ เริ่มมีคนส่งของที่ตัวเองมีนั่นแหละมา แล้วของนั้นก็ถูกบรรจุใส่ลังส่งมาที่ผมว่ามีของอย่างนี้ของคนนี้ ซึ่งให้ตายเถอะ วินาทีนั้นเป็นของใครของใครไม่มีใครรู้เลย แต่ว่าไม่หาย คือเอาลังมา 3 ลัง แยกเอาของใส่ มีภาพอยู่ประมาณว่าหลายพันเชียวล่ะ คุ้ยกันทีก็หากันที ตอนหลังไม่ต้องหา สแกนไว้หมด ใช้ CD write อย่างเดียว 6 แผ่น รูปอย่างเดียวเยอะมาก
นี่เป็นขั้นตอนทำงานจริงๆ แล้ว
เกือบๆ ใช่ พอเริ่มมีของเข้ามาเราก็เริ่มดีไซน์ คือคุณชนุ้ยน้อย ศิษย์อาร์ก้านี่แหละเป็นบ.ก.ศิลปะ เขาเริ่มจัดวางองค์ประกอบคร่าวๆ แต่ทีนี้ การทำงานหนังสือซึ่งเป็นอัตชีวประวัติเนี่ย ภาพมันต้องบอกเรื่อง เขาต้องมีภาพให้เห็นก่อน ฉะนั้นเขาจะทำงานล่วงหน้าไม่ได้เลย ซึ่งในวิธีการทำงานมันยากอยู่นะเพราะต้นฉบับพี่เจ๊ายังแก้ไม่เสร็จ ซึ่งผมก็เข้าใจถึงความยาก แต่เราก็เริ่มกำหนด deadline กันแล้วว่าต้นฉบับต้องปิดกันวันนี้ อาร์ตเวิร์กต้องปิดประมาณนี้ แต่ทีนี้ต้นฉบับทำแล้วล้น เวลาที่ต้องปิดต้นฉบับก็ต้องเลื่อนออกไป โดยที่ฝ่ายศิลป์ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แต่ทางผมก็ไปแอบถ่ายรูปแอบทำอะไรไปเยอะแล้ว ก็ได้แต่รอนะ คือตัวหนังสือมันยังไม่นิ่งก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้จัดรูปเล่มอะไรได้ เพราะก็ยังมีเอาก้อนนี้ยกออกเอาก้อนนี้ยกเข้าอยู่ จนสุดท้ายมาเริ่มทำงานเมื่อต้นฉบับเสร็จ ซึ่งวินาทีนั้นรูปถูกสแกนไว้หมดแล้ว จัดหมวดหมู่รูปไว้คร่าวๆ แล้ว นี่คือช่วงอัลบั้มที่ 1 อัลบั้มที่ 2 อัลบั้มที่ 3 อัลบั้มที่ 4 และก็เริ่มทำประกอบร่าง ผมจะมีหน้าที่ตอบคำถามชนุ้ยน้อยว่าอะไรคืออะไร รูปสมัยไหน คือคุณนุ้ยเนี่ยเขาไม่ใช่แฟนเฉลียง เขาทำอาร์ต เขารู้จักเฉลียง แต่ไม่สามารถแยกยุคได้อย่างชัดเจน คือคนที่รู้เรื่องเฉลียงเนี่ย ถ้าไม่นับพี่ๆ เฉลียง ก็พี่เจ๊า แล้วก็ผม ก็จะรู้ sequence ของมันน่ะ เพราะฉะนั้นหน้าที่ในการผลิตคือการจับมันให้ถูกต้อง แล้วเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกไปให้หมด บางทีการจัดศิลปะลงไปในตัวหนังสือเนี่ยมันยังมีที่ยังไม่ถูกอยู่น่ะ ก็มีหน้าที่เอาออกกับเอาเข้า เฮ้ย! เอาไอ้นี่มาดีกว่า สวยกว่า ซึ่งงานมันก็จะเริ่มเดินไป ซึ่งก็ใช้เวลา
เป็นปีมั้ย
ไม่ถึง!..ทำจริงๆ น่ะ 6 เดือน แต่มาถึงที่ทำอาร์ตเวิร์ก ไม่รวมเวลาเตรียมของเตรียมอะไร จะเหลือเวลาประมาณเดือนครึ่งเพื่อปิดหนังสือความหนา 700 หน้า ซึ่งมันหนักมาก ตอนนั้นก็ต้องแยกงานกันทำ ได้น้องมาช่วยอีก 2-3 คน ใครทำอะไรได้ก่อนก็แยกไป จะสังเกตได้ว่ามีส่วนที่เป็นเนื้อเพลง โน้ตดนตรี ผมก็จะหาคนมาทำโน้ตดนตรี ซึ่งก็เป็นนักดนตรี เป็นคนเรียบเรียงเสียงประสาน มาแกะและตรวจสอบความถูกต้องกับพี่แต๋ง คือถ้าเป็นเรื่องดนตรีในเฉลียง พี่แต๋งเขาจะตรวจสอบได้คนเดียว คนอื่นเขาจะไม่ตรวจ ส่วนพวกการถ่ายภาพ การทำปก ผมก็จะรับผิดชอบมาทำกับคิง (อำพน จันทร์ศิริศรี) แล้วคุณนุ้ยก็จะดูองค์รวม แล้วก็จะปิดไล่ไปทีละท่อนทีละยุคตั้งแต่หน้าหนึ่งจนถึงหน้าสุดท้าย แล้วทั้งหมดนี้มันก็จะประกอบกันสุดท้ายอีกทีหนึ่ง
ไปถ่ายรูปกันที่ไหน
รูปแรกไปถ่ายกันที่ร้านขันอาษา คือครั้งแรกสุดไปถ่ายกันที่ร้านกินข้าวใกล้ๆ กับบริษัทพี่แต๋งนะครับ คือร้านมันธรรมดา เขาก็ประชุมกัน พี่ๆ เขาก็ถามว่าจะถ่ายไปทำไม ผมก็บอกความคิดไปนะ แบบอยากมีเรื่องเบื้องหลังเก็บเอาไว้บ้างก็ดี จากนั้นก็เริ่มบานปลาย เริ่มทำหน้าคั่น เอารูป acting แปลกๆ ของเขามาทำหน้าประกอบที่ไม่ใช่ภาพเก่าๆ พอเราไปถ่ายรูปครั้งแรกแล้วเหมือนไอเดียมันเริ่มสนุกกับมัน
พอเริ่มถ่ายรูปครั้งแรกเสร็จ ผมเริ่มเอางานกลับมาทำ แล้วออกแบบเบื้องต้นไปให้พี่จิกดูอยู่ แบบหนังสือเล่มนี้จะประมาณนี้ ตัวอักษรประมาณนี้ ทำ lay out ไปให้เขาดูก่อนประมาณ 5-6 หน้า หน้าเปิดจะอารมณ์นี้ หน้าปิดจะอารมณ์นี้ แต่ก็ไม่ได้ design ละเอียด
คือสเก็ตช์ไปให้คร่าวๆ
อือ ใช่ๆ อารมณ์จะเป็นอย่างที่เห็น คือจะเป็นพี่ๆ เขา relax เป็นคนปัจจุบันมายืนกางขากางแขน นั่งบ้างนอนบ้าง ก็คือไปขาน idea เขาก่อน ภายในเรื่องจะมีรูปจริงตามยุคสมัย แต่พอหน้าคั่นจะเป็นรูปปัจจุบันของ ณ วันนั้นนะ ซึ่งทุกคนก็ไม่ติดอะไร ก็จะคั่นๆ เป็น design สถาปนิกหน่อยๆ ก็ทำงานไม่ยาก ผมว่างานที่ทำไม่ยาก แต่ขั้นตอนมันเยอะและเวลาที่ถูกบีบ เพราะพอพูดถึงคอนเสิร์ตปุ๊บ เขาก็กำหนดวันคือต้องเสร็จวันนั้น เสร็จหลังจากนั้นไม่ได้ ก็ใช้วิธีคิดกลับมาว่าเราจะทำงานแค่ไหน คือกลายเป็นกลับมาทำงานแบบมีระยะเวลามากำหนด มันเริ่มมีข้อแม้
แล้วยากมากไหม แบบ concept ก็เยอะแล้วยังมีระยะเวลามากำหนด
แต่ก็ยอมรับนะ ไม่เคยทำของเยอะขนาดนี้ แม้ตัวเองทำโฆษณามา ทำหนังสือมาหลายเล่ม ไม่เคยทำหนังสือหนาขนาดนี้ ต้องทำหนังสือกับคน กับกลุ่มคนที่...
ต้องประสานกับคนมากๆ ขนาดนี้
ใช่ครับ เพราะมีทุกฝ่ายที่อยู่ในนั้น ทุกเรื่องที่อยู่ในนั้น คือเฉลียงทั้งหก พี่จิกเจ็ด พี่เจ๊าแปด คืออย่างน้อยก็แปดแล้วที่ต้องรู้เรื่องนี้ และมันเป็นความรับผิดชอบร่วม แล้วคือของเฉลียงมันไม่เด็ดไม่ได้ เรารู้สึกได้ว่าแฟนเพลงเฉลียงไม่เคยดูอะไรแล้วไม่เด็ด ของเฉลียงที่ออกมาทุกอย่างถึงจะเรียบแต่ก็มี idea มีความคิด
คือมันต้องมีอะไรแปลกๆ อะไรมันๆ หน่อย
เอ่อ...คือเราคิดอย่างนั้น ทำให้เรารู้สึกได้ว่ามันไม่สามารถเป็นหนังสือที่ธรรมดาได้
กดดันไหม
ไม่เลย ไม่กดเลย แต่มันธรรมดาไม่ได้ วงไม่ได้แบบบอยสเก็าท์ ไม่สามารถทำอะไรหวือหวาได้ คือมันมีข้อจำกัดของมัน ณ เวลา ความคิด เรื่อง character ของพี่เขาที่ไม่อยากได้อะไรหวือหวาแต่ต้องการความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
มันเป็น concept ที่เราคิดไว้ด้วยว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นหรือเปล่า
เป็น concept ที่วางไว้ตั้งแต่แรก ถูกใจเขาแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ทันกับเวลา ซึ่งก็มีนะ บางอย่างที่แก้ไขในวินาทีสุดท้าย แต่ยังมีบางเรื่องบางรูป เช่น บางรูปก็น่าจะมีรูปที่ดีกว่ารูปที่เราให้ไป แต่ว่ามันหมดเวลาแล้ว คือมันไม่ทันแล้ว
ถ่ายเพิ่มก็ไม่ได้
ใช่...ไม่ได้ มันต้องไปค้นเพิ่ม ซึ่งมันค้นไม่ไหวแล้ว อันที่แน่ๆ เลย คือรูปพี่ชนินต์นะ ไม่มี! ทำไมไม่มี ทุกคนก็ถามว่าทำไมไม่มีรูปพี่นิน เป็นไปได้อย่างไร ซึ่งเราก็หากันแล้วไม่มีจริงๆ พอหนังสือออกมาแล้วพวกเราก็บอก ฉันมี กูก็มี ทุกคนก็มี ทุกคนมีหมดเลย แต่ ณ วินาทีนั้น ทุกคนหากันไม่ได้จริงๆ นะ แบบไม่น่าขาด ได้มาทุกคนแล้วขาดพี่นินคนเดียว
ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงจะดี
แต่จริงๆ แล้วมันขาดเยอะกว่านี้ ที่ขาดนะมีของพี่ๆ กลุ่มศิลาน่ะขาด แต่ได้มาวันสุดท้ายก่อนเข้าโรงพิมพ์นะ
ต้องไปเอาที่บ้านพี่นกตอนเที่ยงคืน คือพี่นกโทรมาบอกว่าผมมีเยอะแยะเลย ไม่เห็นมีใครถามเลย ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าขาดอะไร จนเมื่อทำๆ ไป เมื่อไปถึงตรงนั้นซึ่งเป็นบทสุดท้าย ตายห่า! ก้อนนี้หายทั้งหมด คือยอมรับนะ ขนาดเรานั่งดูเฉยๆ ยังตกเลย มันเยอะ และถ้าถามว่าทำงานละเอียดไหม เราก็บอกได้เลยว่าเราใช้กำลังกับมันทุกวันมากแล้ว และเรายังไม่มีประสบการณ์ว่าการทำหนังสือชีวประวัติเราต้องทำอย่างไรบ้าง และเป็นเล่มแรกของเรามากกว่า ถึงแม้ว่าเราจะทำหนังสืออื่นๆ มาซึ่งมันจะไม่ซับซ้อนขนาดนี้ คือทำหนังสือเฉลียงเนี่ยทำให้ทำหนังสือเก่งเลยนะ ถ้าทำชีวประวัติใครคือรู้เลยว่าต้องเริ่มต้นที่ไหน
แล้วต้องเริ่มต้นที่ไหน
เอาประวัติเขามาแผ่ให้หมด ทำตารางแผ่ออกไปว่าชีวิตเขามีใครเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งวินาทีนั้นไม่ได้ทำแบบนี้เพราะเราไม่ได้ดูเนื้อหาด้วยตัวเราเลย คือเนื้อหาพี่เจ๊าดู เพียงแต่เราอ่านเนื้อหาเหล่านั้นแล้วเราเข้าใจเพราะเราเป็นแฟนเพลง
คือเราอ่านเร็วๆ แล้ว get
ใช่ เรา get ทุกอย่างเลย กลุ่มศิลาเราก็รู้จัก เพียงแต่เราลืมนึกไปว่าในการทำหนังสือน่ะกลุ่มศิลาคนเขาก็อยากเห็นหน้า พี่นิติธรหน้าตาเป็นอย่างไร
แล้วส่วนสัมภาษณ์ในบทผู้คนบนเฉลียง พี่ก้าทำอย่างไร
อ๋อ อันนี้พี่แจ๋วทำมา แล้วพี่เจ๊ามาปรับปรุง ไม่ใช่ว่าพี่แจ๋วทำมาไม่ดีนะ มันอีก style หนึ่ง เนื้อหามันก็ไม่ผิด เนื้อหามันก็เหมือนเดิม สองคนเขียนมันก็เหมือนกัน เพียงแต่กรรมวิธีการเรียง แล้วก็กรรมวิธีการทำให้ถูกใจมากกว่า พี่ว่าเป็นเรื่องถูกใจยังไงกับชาวเฉลียงน่ะ ซึ่งพี่เจ๊าเป็นรุ่นน้องที่สนิท ทำงานใกล้ชิด เขาก็เข้าใจ ซึ่งผมว่าก็ดี มันอ่านง่าย ก็ชอบ แต่เสียดายว่าถ้าเรามีเวลามากกว่านี้เราจะทำได้สวยกว่านี้ โดยที่สวยกว่านี้คือมันมีรายละเอียดบางเรื่อง เช่นที่เรามองข้ามในเชิงศิลปะเพราะเราต้องตัดใจ สมมติว่าเรามี idea แล้วใช่ไหม แต่เราทำไม่ได้แล้ว จังหวะนั้นเราไม่ทำด้วย แล้วผมทะเลาะกับอาร์ตเยอะมาก คือต้องบริหารให้มันทัน โจทย์ผมชัดมากเลย คือเป็นผู้ดูแลการผลิตหนังสือเล่มนี้ให้ทันงานคอนเสิร์ต วันที่เล่นคอนเสิร์ตต้องมีหนังสือเล่มนี้วาง หน้าที่มีเท่านี้เอง ดีแค่ไหน มันอาจจะไม่เต็มร้อยก็ยอม แต่ทางอาร์ตเขาก็ทำร้อยห้าสิบเลยนะ ไม่ได้นอนเป็นเดือน เต็มที่ของเขา แต่ถ้าเขามีเวลาอีกมันต้องดีกว่านี้อยู่แล้วนะ ชัวร์