ความคิดเห็นที่ 1
ตามรอยเหมืองแร่ (2) หม้อข้าวชาวเหมือง
ตอนเช้าอีกวัน คณะตามรอย มหา"ลัย เหมืองแร่ ของเรานั่งกินข้าวเช้าอยู่ในเมืองพังงา มุมทานอาหารช่างเจริญตาอย่างยิ่ง เห็นเทือกเขาพังงาตั้งอยู่ตรงหน้า เป็นวิวเสริมอาหารเยี่ยมจริงๆ อากาศร้อนแรงกำลังดี ลมพัดสดใส ช่วยทำให้ผมเจริญอาหารกว่าเมื่อคืน
ทันใดนั้น รถจิ๊ปคันหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาใกล้มาก ปานจะมาจอดอยู่บนโต๊ะกินข้าวของพวกเรา
ชายฉกรรจ์ 3 คนในรถเปิดประตูลงมา พี่จอน พี่ก้อง พี่แหว็ง ! หรือนั่น
เปล่า ผิดถนัด พวกเขาคือ เอก เอี่ยมชื่น โปรดักชั่นดีไซเนอร์ เศรษฐีตุ๊กตาทองของวงการหนังไทย กับ 2 ผู้ช่วยคนสำคัญ พวกเขามาสมทบกับบรรพตรับหน้าที่หัวหน้าทัวร์เที่ยวเหมืองให้กับคณะเราชั่วคราว
พวกเราจึงชวนคนทั้ง 3 หาอะไรรองท้องด้วยกันก่อนออกบุกเรือขุดในวันนี้
เอก เอี่ยมชื่น เป็นเจ้าของผลงานออกแบบงานสร้างหนังเด่นๆ มากมายหลายเรื่องอย่าง นางนาก, 2499 อันธพาลครองเมือง, 15 ค่ำ เดือน 11, โอ.เค.เบตง, The Letter และล่าสุด เขาคือคีย์แมนคนสำคัญของ มหา"ลัย เหมืองแร่ ผมกับเขาไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่อาหารเช้าช่วยให้ผมป้อนคำถามกับเขาง่ายขึ้น
"พี่เอกรู้จักเรื่องเหมืองแร่มาตั้งแต่เมื่อไรครับ ?"
"เกิดมาก็เห็นหนังสือเหมืองแร่ของพี่อาจินต์อยู่ในบ้านแล้ว ชอบงานของแกเพราะเรื่องสั้นทุกเรื่องมันจะมีพลิกล็อคตอนท้าย ตอนแรกผมไม่คิดว่าหนังสือชุดนี้จะเป็นหนังได้ แต่แล้วก็พลิกล็อค เพราะโดนพี่เก้งเล่นมุขฝากชีวิต"
"ยังไงครับ" ผมสนใจ ยกช้อนค้างคาปาก
"พี่เก้งว่า "เราต้องร่วมมือกัน ถ้าคุณไม่ทำ ผมก็ไม่ทำ"
จุดเริ่มต้นของการร่วมงานกันครั้งที่สองระหว่างเอกกับ จิระ มะลิกุล เกิดขึ้นในขณะที่เอกกำลังทำหนัง 15 ค่ำ เดือน 11 ให้ฝ่ายหลังซึ่งไฟแรงเสียจน ยังถ่ายเรื่องแรกไม่จบก็ดอดจีบเอกให้รับปากว่าจะทำ "เหมืองแร่ ของอาจินต์ ปัญจพรรค์" หนังสือที่เขาอยากทำเป็นหนังมานานแสนนานด้วยกัน
"เสร็จจาก The Letter เราก็ปรึกษาเรื่องเวลากัน เพราะพี่เก้งบอกว่าต้องลงมือแล้ว แต่ผมขอตั้งหลักก่อน ด้วยการตะลุยอ่านเหมืองแร่ทั้ง 142 ตอนอีกรอบ จากนั้นก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับดีบุกและการทำเหมือง เพื่อหาความรู้กว้างๆ ในสิ่งที่จะต้องทำ"
"ความยากในการรีเสิร์ชเหมืองแร่ มันโหดตรงที่...ตอนนี้มันไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว"
เอกนับหนึ่งด้วยการกลับไปดูเหมืองกระโสมของจริง และพบว่ามันมีแต่ซากและภาพที่ไม่เหมือนกับตัวหนังสืออีกต่อไปซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราประจักษ์มาแล้ว
"มันสวยแต่ไม่พอที่จะเป็นหนัง" เอกว่า ดังนั้น ความหวังที่จะได้ถ่ายในสถานที่จริงจึงตัดไป
โจทย์ข้อแรก โลเกชั่น
เหมืองแร่ คือตู้ใส่กับข้าวใบสุดท้ายที่บังคับให้ข้าพเจ้าประคองกระเพาะอันอิดโรยไปหามัน มันบังคับให้ไปหา ไม่ใช่ขอร้องให้ไป มันต้อนข้าพเจ้ามากกว่าต้อนรับ - จาก "มือที่เปิดประตูเหมือง"
เอกออกตามหาเหมืองทุกเหมืองทั่วภาคใต้ที่พอจะเก็บความหลังเอามาเล่าใหม่ แต่ไม่ใช่ง่าย ส่วนใหญ่แปรสภาพไปสารพัด บางแห่งกลายเป็นหมู่บ้าน บางแห่งกลายเป็นโรงงาน
กระทั่งมาเจอเหมืองเก่าแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพังงา เหมืองร้างแห่งนี้มีทั้งโรงล้างแร่ มีบ้านพักเสมียนปลูกเรียงรายเป็นหลังๆ ตามลำดับชั้น มีบังกะโลเอนจิเนียร์ฝรั่ง เหมือนมันได้ตบแต่งตัวเองไว้รอท่ากองถ่ายหนัง
"นอกจากนั้นยังมีป่าทรายด้วย" ป่าทราย คือแนวที่เกิดจากเรือขุดแร่ลากตัวผ่านแล้วคายหิน คายกรวด ทิ้งออกมาทางท้ายทำให้เกิดเหมือนเป็นชายหาดในป่า "เรียกว่าเพอร์เฟ็กต์ นอกจากจะเป็นเหมืองจริงแล้ว ยังเคยมีเรือขุดตั้งอยู่จริงๆ"
ตอนนี้เราอิ่มข้าวกันทุกคนแล้ว จึงตกลงกันว่าจะไปดูสถานที่สวรรค์ส่งมา โดยมีเอกนำทางกลับไปสู่โลเกชั่นในฝัน ที่สุดท้ายพลิกล็อกไม่ได้อยู่ในหนัง เพราะอะไรนะหรือ ? เดี๋ยวไปถึงที่แล้วผมจะให้เขาเล่าให้ฟัง
เราเดินทางขึ้นเหนือ ตรงมายังสถานที่ราชการแห่งหนึ่งซึ่งถูกก่อสร้างขึ้นภายในอาณาบริเวณเหมืองเก่าชื่อ กัมมุนติง หรือ Kammunting Tin Dredging ชาวบ้านเรียกว่าเหมืองเหนือ ผมเพิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวถูก เหมืองแห่งนี้เองคือ เหมืองใจร้ายที่เรียกลุงอาจินต์ตีเหล็กจนคอแตกเป็นเลือด จนต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่เหมืองที่เล็กและกันดารกว่าอย่าง เหมืองกระโสม
ผมเห็นเครื่องปั่นไฟเก่าขนาดใหญ่ซึ่งผมคิดว่าในสมัยนั้นคงสามารถปั่นไฟใช้ในเมืองพังงาได้สบายๆ ส่วนด้านล่างของเหมืองเป็น "ขุมเหมือง" หรือที่ตั้งของเรือขุดนั่นเอง
"มันสวย ผมเห็นแล้วชอบเลย พี่เก้งมาดูแล้วก็ชอบ อยากจะถ่ายหน้าฝน เพราะจะเห็นหมอกบนเขาพังงาที่สวยมากๆ เราเลยลงมือขุด "อู่เรือขุด" หรือบ่อเลี้ยงน้ำรอบเรือขุดขนาดความกว้าง 3 ไร่ ทันที"
"พวกเราเพลิดเพลินกันมาก"เอกหวนนึกถึงความสุขอันแสนสั้นกับ 2 ผู้ช่วยที่เผชิญวาตภัยครั้งสำคัญ มาด้วยกัน "เราขุดอู่เอาไว้เรียบร้อย กำลังจะลงตอม่อ แล้วฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา 3 วัน 3 คืน น้ำเต็มบ่อ ต้องเอาเครื่องสูบเอาน้ำออกไป แต่ไอ้น้ำอีกทางมันลากเอาแรงดันมหาศาลมาด้วย เชื่อมั้ย แนวดินที่ทำกั้นน้ำกว้างขนาดรถสิบล้อวิ่งได้ โดนน้ำที่มันวิ่งมาจากโค้งข้างหน้า" เอกชี้ให้เราดูหัวโค้งที่มีรากไม้ยักษ์ถูกลากมาเป็นหลักฐานให้เห็นกันจะจะ
"มันวิ่งตั้งฉากเจาะแนวดินมาหาเรา น่ากลัวมาก น้ำในบ่อหมุนเป็นวงขนาดเท่ารถตู้ ถอนเครื่องสูบน้ำหนีแทบไม่ทัน ถ้าลงเรือขุดไปแล้ว...ไม่อยากนึก แค่เฉพาะอู่ที่ขุดไป หมดไปเกือบครึ่งล้าน"
"เราเอาชนะธรรมชาติไม่ได้ ก็เลยหนีดีกว่า"
โลเกชั่นฟ้าประทานโดนกระชากกลับไป เอกและลูกทีมกลับมาหนักใจกับโจทย์ข้อแรกเป็นคำรบสอง เวลาเปิดกล้องงวดเข้ามาทุกที "คราวนี้คิดไว้เลยว่า ต้องห่างน้ำหน่อย แต่หาให้เป็นที่น้ำซับเพื่อวางเรือขุด" น้ำซับ หมายถึงที่น้ำผุดขึ้นมาจากดินโดยไม่ต้องสูบน้ำมาใส่บ่อ
"แล้วเราก็มาพบรักใหม่ที่ อ.คุระบุรี ฉากที่คุณไปเห็นผมยืนบรรยายให้ฟังนั่นแหละ" เขาหมายถึงงานเพรสทัวร์ของ มหา"ลัย เหมืองแร่ ที่นำนักข่าวร่วมร้อยเยี่ยมชมเมื่อต้นปี
"แหม ที่ใหม่ มันตรงตามต้องการทั้งนั้นเลย พื้นที่มีเขาล้อมรอบ ที่ตั้งเรือขุดเป็นแอ่งกระทะ ดินสีแดง ทางสีดำ ที่ตั้งร้านกาแฟ ลำธารอยู่ทางด้านหลัง มันเป็นโลเกชั่น กรุ๊ป ครบตามหนังสือ แล้วที่ประหลาดใจมากคือ บ้านพี่อาจินต์ต้องอยู่บนเนิน หลังบ้านมีต้นขุน มันก็มีควนต้นขนุนขึ้นมาให้อีก ตรงกับที่พี่อาจินต์เขียนไว้ นี่มันอะไรกัน มันเกินไปแล้วนะ ใส่พานมาเลย !"
"วาสนาของผู้กำกับเขาจริงๆ" พวกเรามองขึ้นฟ้าหาสวรรค์แล้วสรุปกันเบาๆ ขอบคุณโชคดีที่มาถึงผู้รอคอยจนได้
โจทย์ข้อสอง เรือขุด
เรือขุดแร่ มันมีลักษณะเหมือนโรงสีสามชั้นลอยน้ำได้นั่นเอง มันเคลื่อนตัวช้าๆ ไปทางซ้ายทางขวา และเดินหน้าเหมือนสัตว์ใหญ่ๆ ที่อุ้ยอ้าย พลางส่งเสียงครางฟืดฟาดด้วยสตีมโบลว์ออกมาตามท่อ - จาก "ความพยาบาทของตาชื่น"
"แล้วการสร้างเรือขุดนี่เริ่มต้นยังไงครับ" ผมถามขณะปีนกลับขึ้นจี๊ปคันสีครีมปนเขียวของเอก จุดหมายของเราคือ อ.คุระบุรี ที่ที่ผลงานชิ้นสำคัญของเขารออวดโฉมอยู่
"แค่ตอนนึกภาพมันก็ผิดแล้ว" เอกคิดว่ามันคือเรือ เพราะสรรพนามนำหน้าว่าเรือ
"ผมค้นเจอหนังสือของกรมทรัพย์ ปกเป็นรูปเรือขุดแร่หลายสมัย ก็เลยเอาให้บรรพตดู ชี้ให้ดูว่ารูปเรือขุดที่เราจะทำเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงยังมีอีกรูปอยู่ข้างๆ เรานึกว่าเป็นออฟฟิศของเรือขุด ดูไปดูมามันยังกะโรงสี อ้าว มันก็ตรงกับพี่อาจินต์เขียน โอ้โห มันใหญ่โตกว่ารูปเรือขุดที่ว่า 3-4 เท่า"
"พอจำแบบได้แล้วก็สบายใจ คิดว่าเดี๋ยวไปหากัน เอาเรือเก่าๆ ที่เลิกใช้แล้วมาซ่อมแซม ปรับให้เป็นเรือแล้วเอาทีมหนังขึ้นไปถ่าย พอกลับมาจากภูเก็ต หงายท้องเลย ไม่มีเรือขุดแร่เหลืออยู่ในประเทศไทยเลยสักลำ"
"สรุปว่าต้องสร้างเรือขุดขึ้นมาใหม่"
ในเมื่อเรือขุดแร่ลำสุดท้ายถูกตัดทิ้งเป็นเศษเหล็กไปแล้วเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เอกและเพื่อนร่วมงานจึงต้องคลำทางกันจากศูนย์ "พี่อาจินต์ให้รูปมา 4 ใบ รูปแกยืนแอ็กหน้าบ้านพัก, รูปจากปกหนังสือเหมืองแร่ 2 ปก, แล้วรูปนายฝรั่ง ซีร็อกซ์ดำปี๋ แกให้เราเอามาสร้างเหมืองแร่" เอกพูดอย่างเศร้าจนผมเห็นคิ้วของเขา 2 ฝั่งตกลงอย่างน่าเห็นใจ
"เราต้องต้องหารูปเรือขุดหลายๆ รุ่นมาประมวลให้ได้ภาพเรือขุดของแก พอยิ่งค้นก็พบว่าเรือขุดของพี่อาจินต์ดัดแปลงมาอีกจากเรือขุดสันดอนที่มาจากสิงคโปร์ เป็นเรือขุด 50 บั๊กเก็ต นี่เรียกขนาดตามจำนวนมือตักแร่ของเรือขุด มันใหญ่จึงยากขึ้น"
เอกบอกว่าเป็นการเขียนแบบแปลนที่ยากที่สุด โครงสร้างไม่ยาก แต่ทำอย่างไรให้เหมือนจริงและทำงานได้ "เรือจะทำงานอย่างไร แรงจากกำลังสตีมหม้อน้ำจะส่งแรงยกลูกบั๊กเก็ตขึ้นไปยังตามบันไดเรือยังไง ? เขียนไปแก้ปัญหาไป ถามเพื่อนซึ่งเป็นวิศวกรให้ช่วยอธิบายว่าพวกจักรกลภายในทำงานกันอย่างไรด้วย"
"ตอนเขียนต้องไม่พูดกับใครเลยนะ เดี๋ยวลืม"
"เขียนเสร็จก็หอบไปปรึกษาพี่อาจินต์ กางแบบให้แกดู" ผมรู้มาว่าลุงอาจินต์แกเป็นเซียนเขียนดรออิงก์เครื่องจักรกลสมัยเรียนจุฬาฯ ผมดีใจแทนที่เอกได้ที่ปรึกษาชั้นเยี่ยม
"แกแก้หมดเลย แกบอกว่า โอ้ยตรงนั้นมันใหญ่กว่านี้ ตรงโน้นมันอยู่ตรงนี้ เอาดินสอมากาๆ ขีด ฆ่า ผมจะบอกก็ไม่ทันว่า ที่พี่อาจินต์ขีดอยู่นั่นต้นฉบับนะครับ ผมไม่มีก๊อบปี้ไว้" เอกเล่าเหมือนจะร้องไห้จริงๆ ครับผมสาบาน
เอกหอบงานกลับมาทบทวนความทรงจำกับลุงอาจินต์อีกหลายรอบ ร่างท้ายๆ เรือขุดของเขามีส้วมเพิ่มขึ้นมาด้วย เขียนแก้ไขจนเสร็จ คราวนี้ให้พวกผู้ร่วมงานดู แต่มันซับซ้อนเกินจะเข้าใจ ดังนั้นเอก เอี่ยมชื่น นักเรียนศิลปะจากศิลปากร ได้กลายเป็น "วิศวกรศิลปากร" ที่ตอนนี้ควบหน้าที่สถาปนิกไปในตัว เลยตัดสินใจสร้างเรือขุดจำลองขึ้นมา ใช้เวลา 2 เดือน ราคา 2 แสน ความใหญ่เท่าสนามแบดฯ
ปล้ำกันอยู่หลายเที่ยว ผลการทดลองโมเดลเรือขุดของเอกได้ผลเป็นที่น่าพอใจ "เราสร้างของจริงตามแบบเป็นส่วนๆ แล้วบรรทุกรถ 18 ล้อส่งไปยังคุระบุรี"
โจทย์ข้อสาม หนีตาย
"ถึงแล้วคุระบุรี" บรรพตสวมวิญญาณไกด์รายงานมาจากที่นั่งคนขับ
"งานที่คุระบุรีราบรื่นกันดีหรือครับ ?" ผมเสนอหน้า แทรกถามขึ้นระหว่างเบาะ
"ลื่นกันซะมากกว่า พอเริ่มงานในป่า มันไม่มีมีพัก เวลาฝนตกลงมาต้องยืนตากฝน มันเป็นพื้นที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดในประเทศ ช่าง 60 กว่าคนยืนตากฝน รถปูนมาส่งโดนความเย็นของฝนจนปูนในถังแข็ง" เอกเว้นจังหวะหายใจ สูดลมเข้าปอดเพื่อบรรยายความหนักหนาสาหัสต่อ "บ่อที่ขุดไว้ก็ต้องสูบน้ำออกตลอดเวลา พอขุดดินขึ้นมาก็ดันเจอโตน เป็นโขดหินใหญ่ ก็ต้องเอารถแบ๊คโฮมาขุดโตนออกไป ขุดไปๆ คราวนี้เจอโคตรโตน ใหญ่กว่าห้องเรียนอีก โตนนั้น โตนนี้ เจอกันทุกวัน ปล้ำกันอยู่นาน" ผมฟังแล้วถอนหายใจเฮือกราวกับมีโตนก้อนใหญ่ติดอยู่ในคอ
"แล้วตอนที่เซอร์เวย์มีนักธรณีวิทยามาช่วยดูมั้ยครับ" ผมถามแบบเอาใจหาคนช่วย
"ไม่มีหรอกครับ มีนักธรณีผม กับ นักธรณีกุ้ง (บรรพต) นี่แหละ" เอกกลายเป็นนักธรณีไปอีกหนึ่ง ด้วยความชำนาญทางกว่าใคร รถจี๊ปของเอกก็มาจอดรออยู่หน้าโลเกชั่นของ มหา"ลัย เหมืองแร่ เป็นคันแรกจากนั้นรถตู้อีกคันก็ตามมา
เอกพาพวกเราลอดสังกะสีเข้ามาสู่โลเกชั่นร้าง เรือขุดแร่ตั้งอยู่ตรงหน้า เวลานี้เรือขุดของเอกตกเป็นของเจ้าของที่ ไม่แน่ว่าเขาจะทิ้งไว้ทั้งอย่างนี้เป็นอนุสรณ์ หรือ ถือโอกาสจัดทัวร์โรงถ่ายแข่งกับยูนิเวอร์แซล เรายังสงสัย แต่ที่แน่ๆ ในสายตาผม เรือขุดลำนี้สวยน้อยกว่าที่ผมเห็นคราวมาเยี่ยมกองถ่ายจนน่าใจหาย น้ำแห้งขอดทรายกลบอู่ตื้นเขิน
สวัสดีโรงสีเก่า ผมทักในใจ
"ดูแล้วมันยังแข็งแรงอยู่มาก" ผมว่า ไม่กล้าวิจารณ์ออกมาตรงๆ ว่ามันสวยสดลดลง เอกซึ่งกำลังยืนมองเรือลำใหญ่ งานชิ้นโบว์แดงของเขาเงียบๆ หันกลับมาเล่าว่า "มีอยู่วันหนึ่งมันไม่แข็งแรงอย่างที่เห็นนะซิ"
"วันนั้นเป็นฉากเรือล่ม"เอกบอก มีการเตรียมการเป็นอย่างดี มีการสร้างระบบดันเรือให้ลอยแล้วทำให้จมเป็นอย่างที่พอใจ พอวันถ่ายมาถึง เช้าถ่ายฉากชาวเหมืองยืนมองดูเรือขุดจม
"เช้าผ่านไป พอตอนบ่าย เราเริ่มเห็นตัวเรือมันโค้งนิดๆ แต่พอเข้าคิวที่ 2 มันก็มีเสียงเหล็กลั่น" ตอนนั้นบนฝั่งกำลังวางดอลลี่ "ผมกับพี่เก้งยืนอยู่บนฝั่งยังนึกว่าใครกระโดดเล่นบนเรือก็ให้ผู้ช่วย ว. บอกว่า อย่าเล่นกัน ไม่ทันไร ได้ยินเสียงน็อตมันดีดตัวออกจากเสาเหล็ก กระเด้งไปชนสังกะสี ดังก้อง โป้ง โป้ง โป้ง" รู้กันทีหลังว่าเหล็กเชื่อมขาด
"เรือมันหักกลาง" ตอนนั้นเอกหนักใจสุดสุด "ผมก็วิ่งไปทางด้านหน้าหมายจะช่วยอะไรสักอย่าง ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้ เสียงสลิงฟาดกันไปมา คนบนเรือมันก็ถอยร่นกันมาข้างลำ
"มันหัก เสียงกร็อบ !!" เอกควักขนมปังกรอบจากจานอาหารเช้ามาหักให้ดู เสียงเล็กๆ ดังก้องเหมืองร้างอย่างน่ากลัว
"มีเสียงบอกให้โดด โดดเลยๆ" ข่าวว่าบรรพตเป็นคนนำทีมโดด และว่ายป่ายขึ้นตลิ่งได้ก่อนใครนักแสดง ทีมงาน ตัวประกอบโดดน้ำหนีสุดชีวิต นักแสดงท้องถิ่นที่เป็นกรรมกรให้การว่า ว่ายน้ำไม่เป็น แต่ไม่รู้มาถึงฝั่งได้ยังไง
"ขาผมสั่นดิกเลย ข้างหนึ่งมันแหย่เข้าไปในตารางแล้ว คือเราจะต้องรับผิดชอบ หากใครเป็นอะไรขึ้นมา"
"แล้วมีใครเป็นอะไรมั้ยครับ" ผมถามลุ้นอย่างสยองใจ
"โชคดีมาก ที่เรือด้านที่หักมันหล่นลงมาวางที่คานเหมือนเก่า ไม่งั้นไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น เสียงกึ้งทีแทบจะเป็นลม พอเหตุการณ์ผ่านไป ควันธูปงี้คลุ้งเลย ผมนี่แหละกำธูปเข้าป่าไหว้เจ้าที่เป็นคนแรกเลย" เอกคลายยิ้มออกมาจนได้
เราทั้งหมดมองดู เรือสังกะสีโรงใหญ่เบื้องหน้ากันเงียบๆ สักพัก จึงเอ่ยชวนกันกลับ ผมเอ่ยลาเอกและลูกทีมทั้งสาม จากนี้พวกเขาจะแยกกับทีมตามรอยของเรา ไปรับไม้จากหนังเรื่องใหม่
บรรยากาศเหมืองแร่ ไม่มีอีกต่อไป ไม่มีคนขุดแร่ ไม่มีคนถ่ายหนัง
เรือขุดที่ไม่มีคน ก็เหมือนหม้อหุงข้าวที่ไม่มีไฟ มันไม่อาจหุงหา เติมความอิ่มในกับกระเพาะใครได้ ผมก้าวขึ้นรถตู้ที่ค่อยแล่นเอื่อย กระเด้งกระดอนบนถนนลูกรังออกสู่ถนนใหญ่
อาทิตย์ตรงหัว เที่ยงแล้ว ท้องร้องหิว ใจผมถวิลข้าวอุ่นๆ สักหม้อหนึ่ง
------------------------------------------------------------
ฉบับที่ 1290
วันที่ 6 พฤษภาคม 2548
โดยคุณ
:picmee - [1:36:45 31 พ.ค. 2548] |