กระดานความรู้สึก


ว้าวุ่น 2 ตามสัญญาจ้า
ภาคให้หลัง...หนึ่งทศวรรษ
ตอนที่ 1 / 1 เท่ง - ผู้รู้รอดอีก
เรื่องสั้นชุด "ว้าวุ่น" ที่พิมพ์ออกขายในช่วงหลังๆจะมีบทศอกกลับจากเหล่าเพื่อนๆที่ผมเอาเรื่องเขามาเขียน ได้มีโอกาสเขียนถึงผมบ้าง นับว่าเป็นเกียรติอย่างสูง บทศอกกลับนั้นอ่านสนุกมากจน สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งเกือบจะขอเอาไปรวมเล่มต่างหากแล้ว ติดอยู่ที่ว่ามันกันเองไปหน่อยและสั้นเกินไป ประมาณว่าพิมพ์ออกมาแล้วแผ่นเรียงเบอร์ยังจะยาวซะกว่า
ในจำนวนบทศอกกลับนี้ มีอยู่บทหนึ่งซึ่งเขียนโดย บุญเท่ง-ผู้รู้รอด คุณยังจำเขาได้ไหม ผมเคยเล่าถึงเขาว่า เขาเคยทำตัวเป็นไทยมุง มุงกับพี่ไทยคนอื่นๆดูตำรวจจับเพื่อนตัวเองไง...จำได้ไหมครับและในบทศอกกลับของเขา เขาเขียนไว้ว่า
"ตอนสมัยที่ผมเรียนหนังสืออยู่ที่อเมริกา มีเพื่อนคนไทยที่เรียนอยู่ด้วยกันคนหนึ่ง เขาชอบอ่านหนังสือเล่มนี้มาก และไม่ทราบว่า เขาไปสืบทราบมาได้อย่างไรว่า ผมคือบุญเท่ง หลังจากนั้นเขาก็เฝ้าคอยเพียรถามว่า ผมเป็นอย่างนั้นจริงเหรอ ผมก็ได้แต่ตอบเลี่ยงไปว่า ไม่ใช่ตัวผมแล้วผมก็ขึ้นเครื่องบินหนีกลับมาเมืองไทยนี่แหละ คุณผู้อ่านล่ะครับ อ่านจบแล้วอยากถามผมอย่างนี้บ้างหรือเปล่า อย่าบอกว่าอยากนะครับ ผมขึ้นเครื่องบินหนีต่อไปตุรกีจริงๆด้วย"
เกลียดคุณปินดา
บุญเท่ง
ผมเลยคิดว่าจะขอเขียนถึงบุญเท่งก่อนเป็นคนแรกแล้วกัน เพราะถ้าเขาหนีไปตุรกีจริงๆ จะไม่มีโอกาสได้อ่านเมื่อบุญเท่งรู้ว่าผมจะเขียน "ว้าวุ่น 2" ในโอกาสที่ได้เจอหน้ากันครั้งหนึ่งเขาก็กรากเข้ามาประชิดตัวผมทันที
" เฮ้ยไอ้อ้น กูได้ข่าวว่า มึงจะเขียนว้าวุ่น 2 รึวะ"
"เออใช่" ผมตอบอย่างงงๆ กับอาการจริงจังประดุจเจรจาการค้าของเท่งขณะนี้
" เฮ้ยกูขอร้องล่ะ มึงเขียนถึงกูดีๆหน่อยได้ไหมวะ มึงรู้ไหม ใครๆเค้าก็นึกว่ากูเป็นอย่างนั้นจริงๆ"
ผมมองหน้าเขาด้วยไม่รู้ว่า เขาพูดจริงหรือพูดเอามุข และผมก็แทบจะหัวเราะออกมา เมื่อเขาเอียงหน้าเข้ามาบอกว่า " นี่มึงเขียนให้กูดีๆแบบเป็นพระเอกเลยได้ไหม เอาแบบผู้หญิงอ่านแล้วหลงรักกูเลยน่ะ"
ในการสนทนาครั้งนั้น ผมไม่ได้สัญญากับเขาว่า ตกลงจะเขียนถึงเขาแบบไหน งั้นผมขอบอกตรงนี้เลยแล้วกันว่า ผมจะพยายามเขียนถึงเขาให้ดีที่สุดแล้วกัน ถ้าจะเป็นพระเอกก็เป็นพระเอกแบบเท่งๆเอาใจช่วยผมด้วย
เมื่อจบออกมาแล้วเท่งก็เป็นสถาปนิกตามที่เรียนมา ไม่เหมือนกับบางพวกหรอกที่แหกคอกไปทำงานวงการอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่เรียนมาเลย ซึ่งมีจำนวนหลายคนอยู่ ถึงจะชวนเท่งให้มาเป็นสมาชิกชมรมแหกคอกด้วยกัน เท่งก็จะปฏิเสธเสียงแข็งด้วยเหตุผลว่า
" กูแสดงไม่เป็น...คนหล่อหล่ออย่างเดียว แต่เล่นแข็งเป็นหิน มันไม่รุ่งหรอก...จริงไหม"
เราไม่รู้จะตอบจริงตรงไหนดี ถ้าตรงที่ว่าคนหล่อที่เล่นแข็งๆ มักไม่รุ่งละก็...จริง แต่ถ้าจะให้ไปจริงกับความหมายโดยอ้อมว่า เท่งก็หล่อนั้น เห็นจะ...ไม่จริ๊ง ไม่จริงเลยล่ะ ไม่ใช่แค่ไม่จริงอย่างเดียว
เท่งตั้งใจจะเป็นสถาปนิกที่ดีคนหนึ่งของวงการ เขาสมัครเข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลจากหอพักที่เขาเช่าอาศัยอยู่
“ไม่เอาอีกบริษัทนึงเหรอ ที่มึงเคยเล่าให้ฟังนะ” เพื่อนอีกคนนึงซักถาม
“ไม่ล่ะ เอานี่ดีกว่า”
“นี่ไกลจากบริษัทนั้นตั้งเยอะ ขึ้นรถเมล์ทีเหนื่อยตาย”
“กูคิดดีแล้ว” เท่งยืนยัน
“ทำไม เงินดีกว่าเหรอ”
“ไม่…ที่บริษัทที่กูเลือก มีไอ้เชียรทำงานอยู่ด้วยซึ่งมันมีรถขับ ที่นี้กูก็บอกให้มันมารับกูด้วยตอนเช้า กูคิดรอบคอบดีแล้ว” เท่งทำเสียงออกจะรำคาญทำนองว่า…เขาตัดสินใจเฉียบคมแล้วล่ะน่า และก็เป็นอันว่าเชียรก็ต้องพลอยมีหน้าที่มารับเท่งไปทำงานด้วยทุกเช้า… * ทุกคนลงความเห็นว่าเท่งก็ยังรู้รอดอยู่ดี * และถ้าเท่งได้รับคำเตือนจากหัวหน้างานว่า ”สายนะ” เท่งก็จะทำเสียงจิ๊จ๊ะว่า…ก็ไอ้เชียรน่ะสิ มารับผมสาย เฮ้อ…
แล้วเพื่อนๆก็พากันแซวเรื่องนี้อยู่เนืองๆ จนกระทั่งเท่งได้เปลี่ยนบริษัทใหม่ คราวนี้อยู่ใกล้กับที่พักเขานิดเดียว เท่งบอกกับเพื่อนๆว่า ที่เปลี่ยนงานเพราะสงสารไอ้เชียร มันต้องมารับตอนเช้าประจำเลยเปลี่ยนที่ทำงานดีกว่า มันจะได้สบายขึ้น… รู้สึกว่าเป็นบุญคุณเหลือเกินแล้ว…เชียรคงอดนึกไม่ได้
แล้วเพื่อนๆก็จะได้ยินเรื่องราวว่า เท่งขอให้คนนั้นคนนี้มารับอยู่เสมอ เวลาไปที่นั่นที่นี่ โดยเท่งจะมีเหตุผลให้กับผู้ถูกขอร้องว่า
“แหม…ก็มึงผ่านอยู่แล้ว”
“เท้ากูเป็นตาปลาว่ะ”
“ไว้ให้กูมีรถนะ กูจะขับไปรับมึงบ้าง”
หรือแม้กระทั่งเหตุผลไม่ตายที่ว่า “เพื่อนกัน แค่นี้ทำให้เพื่อนไม่ได้” และเมื่อเท่งคิดจะซื้อรถเป็นของตัวเอง เพื่อนๆก็รีบเชียร์กันออกนอกหน้า …ไม่เคยมีการออกนอกหน้าครั้งไหน จะมากมายเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย
เรื่องซื้อรถนี้ค่อยๆกลายเป็นสิ่งธรรมดาในชีวิตพวกเราไป จำได้ว่าเมื่อตอนที่เราเรียนอยู่ที่คณะนั้น มีคนมีรถในชั้นปีเราไม่เกิน 10 คนและเราก็มองเห็นว่า การมีรถนั้นช่างห่างไกลจากชีวิตพวกเราเสียเหลือเกิน จนเมื่อจบและทำงานกันแล้ว เราถึงค่อยๆเห็นความจำเป็นในการมีรถ จึงกลายเป็นว่าทุกครั้งที่นัดพบกันจะมีจำนวนรถเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนกับที่การนัดครั้งหลังๆ นอกจากกุญแจรถที่ถือแล้วพลอยมีมือถือติดกายกันคนละเครื่องด้วย เหล่านี้เป็นวิถีคนกรุงที่เราจำเป็นต้องมีจริงๆ
ถ้าการมีรถและมือถือ ช่วยทำให้ชีวิตการทำงานก้าวหน้าได้ การไปเรียนต่อก็อาจเป็นอีกทางหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นเท่งจึงคิดไปเรียนต่อเมืองนอกเพื่อความก้าวหน้า ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมายที่เท่งเลือก และก็มีเสียงแว่วมาให้เท่งเจ็บใจเล่นว่า “…สงสารอเมริกาเหลือเกิน”
เท่งก็คงเหมือนนักศึกษาไทยหลายๆคน ที่มักจะทำเปิ่นที่เมืองนอก แต่นักศึกษาไทยที่รู้รอดอย่างเท่งก็เอาตัวรอดมาได้ แม้จะแบบเปิ่นๆบ้างก็ตาม เท่งไปพักที่แฟมิลี่หนึ่งในขั้นแรกที่ไปถึง เป็นแฟมิลี่ฝรั่งที่น่ารักและเขาคงเอ็นดูเท่งไม่น้อย เท่งจึงมีห้องหนึ่งๆได้พักนอนเป็นส่วนตัว และมีการช่วยงานบ้านบ้างนิดหน่อย
เท่งมุเรียนหนักเพราะความลำบากเรื่องภาษาหนึ่ง และเพราะจะอาศัยไหว้วานใครอย่างเมืองไทยก็ไม่ได้อีกหนึ่ง เท่งมุ่งเรียน อ่านหนังสือ ทำการบ้าน จนอดหลับอดนอน และในเช้าวันหนึ่งที่เท่งควรจะลงมือทำงานบ้านของแฟมิลี่ตามปกติได้แล้ว แต่ลุงวิลเลียม ป้าโดโรธี หลานเอ็มมี่ และหลานแกรี่ ก็ยังไม่เห็นมิสเตอร์เท่งออกจากห้องนอนเลยหลานแกรี่ไปเคาะประตูเรียกก็เงียบ…คงจะหลับ ตอนเที่ยงหลานเอ็มมี่ไปเคาะประตูเรียกอีกทีก็ไม่มีเสียงตอบ…ชักสงสัย…
ตอนบ่ายๆป้าโดโรธีไปรัวเคาะอีกครั้ง ก็ยังเงียบ ร้อนถึงลุงวิลเลียมมาช่วยน็อค ออน เดอะ ดอร์ แบบรัวเร็วอยู่นาน ฟอร์ อะ ลอง ไทม์ ประตูจึงเปิดออก ปรากฏว่าเป็นมิสเตอร์เท่าสะลึมสะลือถามว่า
“ว็อท แฮพเพิ้น”
“โอ…มายบอย” ป้าโดโรธีสปี้ค “ไอ ทิงค์ ยู เด้ด” หรือแปลว่า “กูนึกว่ามึงตาย-าไปแล้วน่ะสิ”
แหมก็แค่นอนนานไปหน่อย นอนข้ามวันนิดเดียว เบี้ยวงานบ้านไปนิดหน่อย ทำตื่นเต้นเป็นฝรั่งตื่นไฟไปได้ ไม่รู้จักพี่ไทยแบบบุญเท่งซะแล้ว ว่าแล้วเท่งก็กลับไปล้มตัวลงนอนต่อ ถึงตอนนี้แฟมิลี่ก็อยากจะให้เท่งเด้ดเสียจริงๆให้รู้แล้วรู้รอด
และบุญเท่งก็ได้เจอกับคนไทยที่ว่าเป็นแฟนหนังสือ “พี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่เค้าเขียนหรือเปล่า” หล่อนคนนี้เอ่ยถามหลังจากได้รู้ว่าเท่งจบมาจากไหน รุ่นไหน ซึ่งเท่งก็รีบสั่นหน้า “โน…โน…” แล้วนึกได้ว่า พูดกับคนไทยเดียวกัน เลยเปลี่ยนเป็น “เปล่า…ไม่มี…ไม่ใช่หรอก”
หล่อนคนนั้นก็คุยต่อเรื่องอื่นๆอย่างไม่ติดใจอะไร แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ทำท่าซักไซ้ว่า
“ไหนพี่พูด ส. เสือซิ”
“ส. เสือ”
“พูด..สาวแสนสวยใส่เสื้อสีแสด ซิ”
“สาวแสนสวย…เอ๊ะ….ใส่เสื้อสีแสด มีอะไร”
เธอยิ้มกว้างขวางออกมา “ ใช่แล้ว พูด ส.เสือไม่ชัดเหมือนกันเลย”
“เหมือนใคร” เท่งรีบทัก
“เหมือนคนชื่อเท่งในหนังสือน่ะสิ นั่นก็พูด ส.เสือ ไม่ชัด”
“ฮื้อ…คนพูด ส.เสือ ไม่ชัดมีเยอะไป”
เธอทำหน้าว่าไม่เชื่อนักในคำกล่าวเลี่ยงๆนั้น
และเมื่อเวลาผ่านไป เธอก็ค้นพบว่าเท่งนั่นแหละ คือเท่งที่พูดถึงในหนังสือ เธอเล่าแกมฟ้องเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งว่า “หนูมั่นใจเลยว่า พี่เท่ง ใช่…คนนั้นชัวร์ เอาตัวรอดเหมือนกันเลยล่ะ..ก็งี้ หนูจะเดินยู-ยูนิเวอร์ซิตี้นั่นเอง เจอพี่เท่งเค้าที่ป้ายรถเมล์ เค้าบอกเดินทำไมเมื่อยไปรถเมล์ดีกว่าจะได้นั่งคุยกันไปด้วย หนูก็ไป พอขึ้นรถเค้าบอก ตายล่ะ..ลืมเอาเศษตังค์มา หนูก็เลยออกให้ ไม่เป็นไรก็นั่งกันมาโดยไม่ได้คุยกันเลยเพราะพี่เท่งหลับ พอถึงที่ก็รีบลงกันแต่เกือบไม่ทัน เพราะพี่เค้างัวเงียก็รีบร้อนไปชนคุณป้าล้มลง เราก็รีบช่วย ปรากฏว่าพี่เค้าจ้ำไปไหนแล้วไม่รู้ เจอกันทีหลังเค้าบอกว่า พี่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งเลยไม่กล้าช่วย เดี๋ยวช่วยไม่รู้เรื่อง…ฟังแล้วรู้เลยว่าใช่เค้าแน่ พี่เท่งผู้รู้รอดคนนั้น”

โดยคุณ : pitsie~~ - [17:38:13  23 มี.ค. 2544]

ความคิดเห็นที่ 1
ตอนที่ 1/2 เท่ง - ผู้รู้รอดอีกแล้วเท่งก็เดินทางกลับเมืองไทย มาทำงานทำการด้วยความตั้งใจจริง พร้อมกับพบรักจริงจนถึงขั้นแต่งงานแต่งการ
เท่งแต่งงานที่โรงแรมใหญ่มีชื่อแห่งหนึ่ง นับว่าเป็นงานที่เพื่อนๆไปงานกันพอสมควร เพราะเท่งนั้นใครๆก็เอ็นดูเขา แม้แต่บางคนที่ไม่ได้การ์ดเชิญก็ยังอุตส่าห์ไป เพื่อที่จะได้พบกับเจ้าบ่าวเท่งซึ่งยืนต้อนรับอยู่หน้างาน ในสีหน้างงแกมประหลาดใจ “เฮ้ย มึงมาด้วยเหรอ กูไม่ได้เชิญมึงนี่” เพื่อนคนนั้น มาเล่าให้ฟังทีหลังว่า ไม่รู้จะแสดงความยินดี หรือจะกระโดชกเจ้าบ่าวดี เพราะแขกคนอื่นพากันหันมาจ้องดูเขากันใหญ่ คงจะนึกกันว่า “เค้าไม่ได้เชิญ…มาทำไม”
แต่ยังไงก็ตามเพื่อนๆก็มาร่วมงานแต่งเท่งกันเยอะล่ะ ซึ่งคงจะไม่เป็นอะไรนัก ถ้าในจำนวนนั้นจะไม่มีเลิดปากคันกับคิดปากหมามาด้วย 2 คนจะค่อนขอดนินทางานมงคลของเพื่อนจนมงคลแทบจะเสื่อมไปเลย
“แม่งเอาตัวรอดจริงๆ ดูสิ เลี้ยงคอกเทลด้วย แล้วก็น้อยยังกะเหลือมาจากงานเมื่อวาน คนไหนมาช้าหน่อยมีหวังอดกิน”
“จุ๊ๆ …ปอเปี๊ยะมันไม่มีไส้ด้วย มีแต่แป้งห่อหลอดไว้”
“เหล้าที่เสิร์ฟก็บางยังกะน้ำเปล่า ทั้งงานมันมีเหล้า 2 ขวดแน่เลยแล้วก็แตกไปขวดนึงด้วย”
“เห็นเค้กที่มันจะต้องตัดไหม เป็นขนมเค้กจริงชั้นบนชั้นเดียวนะ นอกนั้นเป็นโฟมแล้วเอาครีมทา”
“ตอนมันกล่าวขอบคุณนะ มันต้องให้เจ้าสาวกล่าวก่อนแน่เลย แล้วมันก็จะได้พูดแค่…เหมือนกันครับ”
แต่ทุกคนก็ยินดีปรีดาไปกับเจ้าบ่าวเท่งด้วย และให้สลดใจไปกับเจ้าสาวด้วยเป็นที่ยิ่ง เพื่อนๆสัพยอกหยอกเอินเท่งกับเจ้าสาวเป็นการร่ำลา ก่อนจะพากันออกจากงานไปหาอะไรกิน เพราะหิวเต็มที
หลังจากหาอะไรกินกันแล้ว บางคนก็ชักชวนกันไปเที่ยวต่อ แต่บางคนก็ขอตัวบอกว่า พรุ่งนี้มีโปรแกรมเล่นกอล์ฟตอนเช้า
มีพรรคพวกหลายคนที่หันมาเล่นกอล์ฟ กีฬานิยมของคนรุ่นทำงานที่มักจะต้อง “เล่นให้เป็น” เพื่อที่จะได้เปิดสังคมของตนเองให้กว้างขึ้นมากกว่าเดิม นอกเหนือจากเป็นการออกกำลังกายแบบธรรมดาๆ และเท่งก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
เท่งหัดเล่นกอล์ฟพร้อมๆกับเพื่อน แต่ด้วยความที่เท่งไม่ใช่คนที่มีทักษะทางด้านกีฬามากนัก ทำให้เท่งตีได้ช้าและไม่ค่อยแม่นยำตามต้องการ
การหัดกอล์ฟ เขาจะเริ่มจากการหัดไดร์ฟก่อน คือการตีอยู่กับที่ยังไม่ต้องเดินไปไหน พอดีอยู่ตัวแล้ว ค่อยออกไปตีที่สนามจริง ที่เรียกกันว่าออกรอบ
เท่งหัดไดร์ฟโดยการใช้ไม้ของคนอื่นทั้งที่ไม้ของตนก็มี
“เออ ไม้มึงใช้แล้วตีดีว่ะ ไม่ยักกะเหมือนไม้กู” เลยกลายเป็นว่าเท่งจะใช้ไม้ของเพื่อนหัดตีอยู่เสมอ พร้อมกล่าวชมเชยเป็นนิจ “ไม่มึงตีดีจริงๆ ดีกว่าไม้กูเองอีก” จนเพื่อนรำคาญ ประชดให้ว่า
“งั้นมึงซื้อไม้กูเลยไหมล่ะ”
“กูซื้อไม้มึงมา มันก็กลายเป็นไม้กูสิไม่ใช้ไม้มึง กูบอกแล้วว่า กูตีไม่ตัวเองไม่ได้ ต้องตีไม้คนอื่น” ฟังดูงงๆ แต่ก็เป็นอันสรุปว่า เท่งไม่ต้องซื้อไม้ต่อจากเพื่อน แต่เป็นว่าเพื่อนยกให้เองด้วยความงุนงงเหมือนกัน
และก๊วนเพื่อนก็พากันออกรอบ ซึ่งความสนุกก็อยู่ที่พยายามตีให้อยู่ในจำนวนครั้งที่กำหนด เช่น พาร์ 4 คือ ตี 4 ครั้งให้ลูกลงหลุมได้สำเร็จ ซึ่งหลุมมันจะอยู่บนกรีน เพราะฉะนั้นใครจะตีจนลูกขึ้นไปบนหลุมได้ก่อนก็มีสิทธิ์กว่า
เท่งจะตีลูกด้วยความไม่แม่นยำเลย ช็อตที่ควรจะพาลูกขึ้นกรีนได้ เท่งก็จะตีลูกบิดออกไปซ้ายบ้างขวาบ้าง เมื่อไรที่เป็นอย่างนี้เท่งก็จะบ่นว่า “นิดเดียว…นี่ถ้ากรีนมันเลื่อนมาทางขวาหน่อยก็ออกไปแล้ว” ไม่ก็…”ถ้ากรีนมันเลื่อนมาทางซ้ายอีกนิดก็ออนชัวร์”
เท่งจะตีเบี้ยวจากกรีนเกือบทุกครั้ง ก็จะบ่นเรื่องกรีนที่น่าจะเลื่อนไปมาได้ตามทิศทางการตี จนเลิดที่เล่นด้วยกันประจำพูดว่า
“ยังงี้ใครมันก็เล่นได้วะ ถ้าพูดยังนี้”
“เอ้า.. รึมันไม่จริง” เท่งยังเถียงแบบเด็กๆและเชื่อมั่นว่า ถ้ากรีนเลื่อนตามที่ตีได้จริงๆ คงจะดีไม่น้อย
และเลยมีโปรแกรมตีกอล์ฟกันเป็นประจำขึ้นมา สำหรับพรรคพวกที่พิสมัยกีฬาชนิดนี้ ไอ้ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นหน้ากัน ก็จะได้เจอกันในสนามกอล์ฟนี่แหละ จึงปรากฏอยู่บ่อยๆที่จะมีบางกลุ่มคุยกันเรื่องกอล์ฟในงานแต่งงานเพื่อน และมีบางคนที่ไม่ได้ตีกอล์ฟด้วยเดินไปคุยเรื่องเซ็กส์กับอีกกลุ่มหนึ่ง นัยว่าคุยได้รู้เรื่องกว่าและโจ๋งครึ่มกว่าเป็นไหนๆ
การนัดตีกอล์ฟไม่จำกัดเฉพาะสนามในกรุงเทพฯเท่านั้น บางครั้งบางคราก็มีการนัดไปเล่นตามต่างจังหวัดหากมีเวลาพอ และก็เป็นอยู่บ่อยๆ ที่เท่งจะติดรถคนอื่นไป
เช่นเดียวกับคราวนี้เหมือนกันที่เกิดนึกสนุกกันในระหว่างพรรคพวกกลุ่มใหญ่ที่จะนัดกันไปสังสรรค์ที่พัทยา ซึ่งนานๆจะสบโอกาสสักที หลังจากที่ไม่ได้รวมกันเที่ยวเยอะๆ อย่างนี้มานานแล้ว
ด้วยความที่ต่างคนต่างก็มีชีวิตส่วนตัวเป็นของตัวเองทำให้แต่ละคนมีภารกิจต่างกัน บางคนจึงสามารถไปได้แต่เช้า บางคนไปสายๆ บางคนตามไปเย็น และบางคนก็เลยไปถึงค่ำ
แล้วก็อีกนั่นแหละ ที่บางคนไปเพื่อตีกอล์ฟกันก่อนที่จะกลับมาเจอคนอื่นๆที่พัก บางคนก็มุ่งมั่นไปเพื่อตั้งหน้ากินเหล้าก็มี เท่งจัดอยู่กับพวกที่ไปตีกอล์ฟก่อน และเท่งก็ชวนนูไปด้วยกัน เพราะนูก็เป็นขากอล์ฟคนหนึ่ง จำนูได้ไหม นู-กึ่มใหญ่ที่ใครๆมักจะให้อภัยในความไม่ค่อยจะประสาของเขา
เท่งชวนนูไป แต่ว่าไปรถนูนะ ไม่ได้ไปรถเท่ง และก็ไม่ได้มุ่งไปตีกอล์ฟเลย แต่ต้องเลยจากสนามกอล์ฟที่พัทยา เพื่อพาเท่งไปทำธุระส่วนตัวที่ระยองก่อน ค่อยย้อนกลับมาตีกอล์ฟกับเพื่อน เราเลยเข้าใจว่าทำไมเท่งถึงได้เลือกชวนนู และก็สำเร็จเสียด้วย เพราะถ้าชวนคนอื่นคงไม่มีใครยอมไปกับเท่งแน่ๆ แต่นี่เป็นนูซึ่งไม่ค่อยจะคิดอะไรมากอยู่แล้ว หรือลืมคิดก็ไม่รู้ เลยเป็นว่าเท่งนั่งรถนูไปทำธุระของตนแล้วค่อยย้อนมาตีกอล์ฟ
เพื่อนๆตีกันไป 9 หลุมแล้วกำลังจะออกรอบ 2 เท่งกับนูถึงค่อยมาถึงแล้วก็ได้ร่วมก๊วนไปด้วยกัน เพื่อนๆพากันสงสารนูจริงๆ พวกที่อยู่ที่ที่พักก็นั่งกินเหล้าริมทะเลกันตั้งแต่บ่ายจนเย็นย่ำ กลุ่มตีกอล์ฟถึงได้มาเสริมทีม เท่งคุยฟุ้งมาแต่ไกลว่า ตัวเองตีไม่ดีวันนี้
“คงไม่เกี่ยวกับกรีนอีกนะ” เพื่อนคนหนึ่งดักคอ
“ม่าย…” เท่งลากเสียงยาว “ก็ต้องนั่งรถปุเลงๆ ไปทำธุระถึงระยองนู่น รถไอ้นูมันน่ะเลยเพลีย”
ทุกคนฟังดูเหมือนกับว่าเท่งถูกบังคับให้ไปทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองสักหน่อย แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลยตรงกันข้ามทุกประการ
“ไอ้นู แล้วมึงขับรถไปให้มันทำไมวะ”
นูคนเดิมได้แต่ยิ้มแห้งๆแก้ตัวแทนเพื่อนว่า “เฮ้ยนิดเดียวเอง ไม่เป็นไร สงสารไอ้เท่งมัน”
เท่งเลิกคิ้วแผล็บๆ ทำนองว่าเห็นไหมล่ะ ไอ้นูเองมันยังไม่ว่าอะไรเลย พร้อมกับย้ำ
“ไปกินข้าวกันเถอะจะทุ่มแล้ว”
พอมีการพูดถึงเวลา เท่งถึงได้รู้ว่านาฬิกาตัวเองไม่อยู่แล้ว
“เฮ้ย.. นาฬิกาหายไปไหนวะ” เท่งหันขวับไปหานู “ตกอยู่ในรถมึงหรือเปล่า มึงต้องรับผิดชอบน่ะ”
แทนที่นูจะโกรธ เขากลับอาสาอย่างมีน้ำใจว่า “เดี๋ยวไปดูในรถให้
นูเดินไปที่จอดรถเพื่อดูนาฬิกาก่อนกลับมาบอกว่าไม่เจอ แต่สายเสียแล้ว เพราะเท่งนึกออกแล้วว่า…กูถอดฝากแคดดี้ไว้เอง มันตีไม่ถนัด คงอยู่กับแคดดี้นั่นแหละ
“พรุ่งนี้ค่อยไปเอา ไม่หายหรอก จำหน้าได้หรือเปล่า”
“จำได้” เท่งนึกหน้าเด็กแคดดี้คนนั้น “จำได้สิ ต้องจำได้”
แล้วเราก็ยกพลไปทานอาหารทะเลกัน จากนั้นก็กลับมาเฮฮาต่อที่ที่พัก ซึ่งแยกเป็นห้อง ห้องละ 2 คนบ้าง 3 คนบ้าง และเท่งก็ถูกจัดให้นอนกับนู
พวกเราเริ่มเปิดวงไพ่ ในขณะที่นูบ่นว่าเพลียแดด ท่าทางจะไม่ค่อยสบาย และปลีกตัวไปนอนก่อน เท่งอยู่เฮฮากับเพื่อนๆ พลางบ่นถึงนาฬิกาอยู่เนืองๆจนพวกเราเริ่มเบื่อ
“พรุ่งนี้ก็ไปเอาแล้ว บ่นหาอะไรวะ”
“อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆจัง”
เพื่อนคนหนึ่งแกล้งแหย่สวนไปว่า
“งั้นก็ไปนอนซะสิ รีบนอนจะได้รีบหลับ รีบตื่นถึงพรุ่งนี้ไวๆ”
“เออจริง”
ปรากฏว่าเท่งเห็นด้วย แล้วก็เลยขอตัวไปนอน ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนๆ แต่ก็งงไม่นานเพราะเรามีภารกิจต่อกีฬาบัตรอยู่ตรงหน้า เราพันตูกันต่อไม่นาน เท่งก็เดินท่อมๆ ตรงมากลางวงที่นั่งกันด้วยท่าทางแปลกๆ
“แย่แล้วๆ”
“อะไรของมึงวะ”
“นี่ๆแย่แล้ว” เท่งทำสีหน้าตื่นตกใจแกมไม่พอใจยังไงชอบกล
“อะไร”
“ไอ้นูน่ะสิ มันนอนคลุมโปงเลย กูเข้าไปจับตัวดู อู้ฮูตัวร้อนจี๋เลย”
“มันป่วยน่ะสิ เห็นมันบ่นอยู่เหมือนกัน”
“แย่เลย…อึ๊ย อย่างนี้นะ…” เท่งเว้นช่วงพูดจนเรารำคาญ
“อย่างนี้อะไร ต้องพามันไปโรงพยาบาลเหรอ” เพื่อนๆเดือดร้อนแทน
“เปล่า อย่างนี้นะ กูไม่นอนกับมันด้วยหรอก เดี๋ยวติดตายเลย ไปนอนห้องอื่นดีกว่า” พูดจบเท่งก็ไปหอบหมอน ผ้าห่มไปนอนห้องอื่นจริงๆ
พวกเราได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจเท่งเท่าไหร่ เห็นท่าทางตื่นๆมาบอกอาการนู นึกว่าแย่แล้ว ไม่ไหวแล้ว ต้องพาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ กลับกลายเป็นว่า แย่แล้ว ไม่ไหวแล้ว กูไม่นอนด้วยแล้ว
นี่ถ้านูไม่ได้อาสาขับรถและบริการอะไรต่อมิอะไรให้เท่งนะ เราจะไม่ติดใจอะไรเลย แต่เพราะความเป็นผู้รู้รอดของเท่ง เราเลยเข้าใจไปโดยปริยาย
ตอนเช้าเราทยอยตื่นขึ้นมาตามแต่สังขารอำนวย คนตื่นหลังก็จะได้ฟังคนตื่นก่อนเล่าว่า นูกับเท่งไม่อยู่แล้ว นัยว่าออกไปสนามกอล์ฟแต่เช้าตรู่ คนรู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าไอ้เท่งรีบตื่นมาจากอีกห้องหนึ่งที่เขาหลบไปนอนเพื่อมาปลุกนูที่เมื่อคืนถูกเพื่อนทิ้งไปนอนอีกห้อง ให้ลุกขึ้นมาขับรถของตัวเอง พาเพื่อนคนนั้นไปเอานาฬิกาที่ลืมไว้
เราฟังแล้วก็เลยหัวเราะกันออกมาอย่างเข้าใจโลก เออหนอคนหนึ่งก็ช่างไม่ติดใจ ไม่คิดอะไรเลย ส่วนอีกคนก็ช่างกระไร รู้รอดปลอดโปร่ง ทะลุทะลวงไปได้ทุกเรื่องราว สมกับเป็นเท่งผู้รู้รอดจริงๆ

โดย : ปินดา โพสยะ
ที่มา : หนังสือแผ่นดินหวาน ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 ก.ค. 2536 (ของพี่เฌอ)

โดยคุณ :pitsie~~ - ICQ: 75609230 [17:40:08  23 มี.ค. 2544]

ความคิดเห็นที่ 2
ขอบคุณจ๊ะ
ในเวปนี้มีแต่คนใจดีทั้งนั้นเลย
โดยคุณ :น้องระเบียง - [17:44:56  23 มี.ค. 2544]

ความคิดเห็นที่ 3
ขอบคุณจ๊ะ
ในเวปนี้มีแต่คนใจดีทั้งนั้นเลย
โดยคุณ :น้องระเบียง - [17:45:06  23 มี.ค. 2544]

ความคิดเห็นที่ 4
โทษที่นะจ๊ะเพื่อนๆ...ไม่เคยโพสต์อะไรที่ยาวขนาดนี้มาก่อนเลยจริง...
เอาเป็นว่าถ้าใครอยากได้ไฟล์เต็มๆของว้าวุ่น 2 ส่งเมล์มาขอได้จ้า....
ตอนนี้คงต้องขอลากลับบ้าน(นอก)ชั่วคราวซัก 2 วันนะจ๊ะ...
โดยคุณ :pitsie~~ - ICQ: 75609230 [17:47:00  23 มี.ค. 2544]

ความคิดเห็นที่ 5
: ) ขอบคุณค่ะ
โดยคุณ :พุดซา - [20:54:48  23 มี.ค. 2544]

ความคิดเห็นที่ 6
ขอบคุณค่ะพี่ pitsie~~
โดยคุณ :ใบหม่อน - [22:29:58  23 มี.ค. 2544]

ความคิดเห็นที่ 7
กุปิ๊ กุปิ๊ กิ๊บ กิ๊บ

ขอทวนภาค 1 อีกรอบก่อนนะ
แล้วจะมาอ่าน
ขอบคุณ pitsie~~ มือขยัน

@^o^@
โดยคุณ :นายละเมอ เพ้อพก - [23:25:30  23 มี.ค. 2544]

ความคิดเห็นที่ 8
ขอบคุณ pitsie~~ มากจ้า...
โดยคุณ :เฌอ - [15:52:51  24 มี.ค. 2544]

ความคิดเห็นที่ 9
pitsie~ จ๋า
ลงทุนพิมพ์เลยเหรอ
เหลือ pitsie~ ไว้สักคนในหมู่กรรมการเถอะนะ
ที่ไม่มีแววโดนซองขาวเหมือนไก่น้อย picmee และอื่นๆ (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
โดยคุณ :picmee - [2:57:17  25 มี.ค. 2544]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....