ว้าวุ่น 2 ตามสัญญาจ้า
ภาคให้หลัง...หนึ่งทศวรรษ
ตอนที่ 1 / 1 เท่ง - ผู้รู้รอดอีก
เรื่องสั้นชุด "ว้าวุ่น" ที่พิมพ์ออกขายในช่วงหลังๆจะมีบทศอกกลับจากเหล่าเพื่อนๆที่ผมเอาเรื่องเขามาเขียน ได้มีโอกาสเขียนถึงผมบ้าง นับว่าเป็นเกียรติอย่างสูง บทศอกกลับนั้นอ่านสนุกมากจน สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งเกือบจะขอเอาไปรวมเล่มต่างหากแล้ว ติดอยู่ที่ว่ามันกันเองไปหน่อยและสั้นเกินไป ประมาณว่าพิมพ์ออกมาแล้วแผ่นเรียงเบอร์ยังจะยาวซะกว่า
ในจำนวนบทศอกกลับนี้ มีอยู่บทหนึ่งซึ่งเขียนโดย บุญเท่ง-ผู้รู้รอด คุณยังจำเขาได้ไหม ผมเคยเล่าถึงเขาว่า เขาเคยทำตัวเป็นไทยมุง มุงกับพี่ไทยคนอื่นๆดูตำรวจจับเพื่อนตัวเองไง...จำได้ไหมครับและในบทศอกกลับของเขา เขาเขียนไว้ว่า
"ตอนสมัยที่ผมเรียนหนังสืออยู่ที่อเมริกา มีเพื่อนคนไทยที่เรียนอยู่ด้วยกันคนหนึ่ง เขาชอบอ่านหนังสือเล่มนี้มาก และไม่ทราบว่า เขาไปสืบทราบมาได้อย่างไรว่า ผมคือบุญเท่ง หลังจากนั้นเขาก็เฝ้าคอยเพียรถามว่า ผมเป็นอย่างนั้นจริงเหรอ ผมก็ได้แต่ตอบเลี่ยงไปว่า ไม่ใช่ตัวผมแล้วผมก็ขึ้นเครื่องบินหนีกลับมาเมืองไทยนี่แหละ คุณผู้อ่านล่ะครับ อ่านจบแล้วอยากถามผมอย่างนี้บ้างหรือเปล่า อย่าบอกว่าอยากนะครับ ผมขึ้นเครื่องบินหนีต่อไปตุรกีจริงๆด้วย"
เกลียดคุณปินดา
บุญเท่ง
ผมเลยคิดว่าจะขอเขียนถึงบุญเท่งก่อนเป็นคนแรกแล้วกัน เพราะถ้าเขาหนีไปตุรกีจริงๆ จะไม่มีโอกาสได้อ่านเมื่อบุญเท่งรู้ว่าผมจะเขียน "ว้าวุ่น 2" ในโอกาสที่ได้เจอหน้ากันครั้งหนึ่งเขาก็กรากเข้ามาประชิดตัวผมทันที
" เฮ้ยไอ้อ้น กูได้ข่าวว่า มึงจะเขียนว้าวุ่น 2 รึวะ"
"เออใช่" ผมตอบอย่างงงๆ กับอาการจริงจังประดุจเจรจาการค้าของเท่งขณะนี้
" เฮ้ยกูขอร้องล่ะ มึงเขียนถึงกูดีๆหน่อยได้ไหมวะ มึงรู้ไหม ใครๆเค้าก็นึกว่ากูเป็นอย่างนั้นจริงๆ"
ผมมองหน้าเขาด้วยไม่รู้ว่า เขาพูดจริงหรือพูดเอามุข และผมก็แทบจะหัวเราะออกมา เมื่อเขาเอียงหน้าเข้ามาบอกว่า " นี่มึงเขียนให้กูดีๆแบบเป็นพระเอกเลยได้ไหม เอาแบบผู้หญิงอ่านแล้วหลงรักกูเลยน่ะ"
ในการสนทนาครั้งนั้น ผมไม่ได้สัญญากับเขาว่า ตกลงจะเขียนถึงเขาแบบไหน งั้นผมขอบอกตรงนี้เลยแล้วกันว่า ผมจะพยายามเขียนถึงเขาให้ดีที่สุดแล้วกัน ถ้าจะเป็นพระเอกก็เป็นพระเอกแบบเท่งๆเอาใจช่วยผมด้วย
เมื่อจบออกมาแล้วเท่งก็เป็นสถาปนิกตามที่เรียนมา ไม่เหมือนกับบางพวกหรอกที่แหกคอกไปทำงานวงการอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่เรียนมาเลย ซึ่งมีจำนวนหลายคนอยู่ ถึงจะชวนเท่งให้มาเป็นสมาชิกชมรมแหกคอกด้วยกัน เท่งก็จะปฏิเสธเสียงแข็งด้วยเหตุผลว่า
" กูแสดงไม่เป็น...คนหล่อหล่ออย่างเดียว แต่เล่นแข็งเป็นหิน มันไม่รุ่งหรอก...จริงไหม"
เราไม่รู้จะตอบจริงตรงไหนดี ถ้าตรงที่ว่าคนหล่อที่เล่นแข็งๆ มักไม่รุ่งละก็...จริง แต่ถ้าจะให้ไปจริงกับความหมายโดยอ้อมว่า เท่งก็หล่อนั้น เห็นจะ...ไม่จริ๊ง ไม่จริงเลยล่ะ ไม่ใช่แค่ไม่จริงอย่างเดียว
เท่งตั้งใจจะเป็นสถาปนิกที่ดีคนหนึ่งของวงการ เขาสมัครเข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลจากหอพักที่เขาเช่าอาศัยอยู่
ไม่เอาอีกบริษัทนึงเหรอ ที่มึงเคยเล่าให้ฟังนะ เพื่อนอีกคนนึงซักถาม
ไม่ล่ะ เอานี่ดีกว่า
นี่ไกลจากบริษัทนั้นตั้งเยอะ ขึ้นรถเมล์ทีเหนื่อยตาย
กูคิดดีแล้ว เท่งยืนยัน
ทำไม เงินดีกว่าเหรอ
ไม่
ที่บริษัทที่กูเลือก มีไอ้เชียรทำงานอยู่ด้วยซึ่งมันมีรถขับ ที่นี้กูก็บอกให้มันมารับกูด้วยตอนเช้า กูคิดรอบคอบดีแล้ว เท่งทำเสียงออกจะรำคาญทำนองว่า
เขาตัดสินใจเฉียบคมแล้วล่ะน่า และก็เป็นอันว่าเชียรก็ต้องพลอยมีหน้าที่มารับเท่งไปทำงานด้วยทุกเช้า
* ทุกคนลงความเห็นว่าเท่งก็ยังรู้รอดอยู่ดี * และถ้าเท่งได้รับคำเตือนจากหัวหน้างานว่า สายนะ เท่งก็จะทำเสียงจิ๊จ๊ะว่า
ก็ไอ้เชียรน่ะสิ มารับผมสาย เฮ้อ
แล้วเพื่อนๆก็พากันแซวเรื่องนี้อยู่เนืองๆ จนกระทั่งเท่งได้เปลี่ยนบริษัทใหม่ คราวนี้อยู่ใกล้กับที่พักเขานิดเดียว เท่งบอกกับเพื่อนๆว่า ที่เปลี่ยนงานเพราะสงสารไอ้เชียร มันต้องมารับตอนเช้าประจำเลยเปลี่ยนที่ทำงานดีกว่า มันจะได้สบายขึ้น
รู้สึกว่าเป็นบุญคุณเหลือเกินแล้ว
เชียรคงอดนึกไม่ได้
แล้วเพื่อนๆก็จะได้ยินเรื่องราวว่า เท่งขอให้คนนั้นคนนี้มารับอยู่เสมอ เวลาไปที่นั่นที่นี่ โดยเท่งจะมีเหตุผลให้กับผู้ถูกขอร้องว่า
แหม
ก็มึงผ่านอยู่แล้ว
เท้ากูเป็นตาปลาว่ะ
ไว้ให้กูมีรถนะ กูจะขับไปรับมึงบ้าง
หรือแม้กระทั่งเหตุผลไม่ตายที่ว่า เพื่อนกัน แค่นี้ทำให้เพื่อนไม่ได้ และเมื่อเท่งคิดจะซื้อรถเป็นของตัวเอง เพื่อนๆก็รีบเชียร์กันออกนอกหน้า
ไม่เคยมีการออกนอกหน้าครั้งไหน จะมากมายเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย
เรื่องซื้อรถนี้ค่อยๆกลายเป็นสิ่งธรรมดาในชีวิตพวกเราไป จำได้ว่าเมื่อตอนที่เราเรียนอยู่ที่คณะนั้น มีคนมีรถในชั้นปีเราไม่เกิน 10 คนและเราก็มองเห็นว่า การมีรถนั้นช่างห่างไกลจากชีวิตพวกเราเสียเหลือเกิน จนเมื่อจบและทำงานกันแล้ว เราถึงค่อยๆเห็นความจำเป็นในการมีรถ จึงกลายเป็นว่าทุกครั้งที่นัดพบกันจะมีจำนวนรถเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนกับที่การนัดครั้งหลังๆ นอกจากกุญแจรถที่ถือแล้วพลอยมีมือถือติดกายกันคนละเครื่องด้วย เหล่านี้เป็นวิถีคนกรุงที่เราจำเป็นต้องมีจริงๆ
ถ้าการมีรถและมือถือ ช่วยทำให้ชีวิตการทำงานก้าวหน้าได้ การไปเรียนต่อก็อาจเป็นอีกทางหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นเท่งจึงคิดไปเรียนต่อเมืองนอกเพื่อความก้าวหน้า ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมายที่เท่งเลือก และก็มีเสียงแว่วมาให้เท่งเจ็บใจเล่นว่า
สงสารอเมริกาเหลือเกิน
เท่งก็คงเหมือนนักศึกษาไทยหลายๆคน ที่มักจะทำเปิ่นที่เมืองนอก แต่นักศึกษาไทยที่รู้รอดอย่างเท่งก็เอาตัวรอดมาได้ แม้จะแบบเปิ่นๆบ้างก็ตาม เท่งไปพักที่แฟมิลี่หนึ่งในขั้นแรกที่ไปถึง เป็นแฟมิลี่ฝรั่งที่น่ารักและเขาคงเอ็นดูเท่งไม่น้อย เท่งจึงมีห้องหนึ่งๆได้พักนอนเป็นส่วนตัว และมีการช่วยงานบ้านบ้างนิดหน่อย
เท่งมุเรียนหนักเพราะความลำบากเรื่องภาษาหนึ่ง และเพราะจะอาศัยไหว้วานใครอย่างเมืองไทยก็ไม่ได้อีกหนึ่ง เท่งมุ่งเรียน อ่านหนังสือ ทำการบ้าน จนอดหลับอดนอน และในเช้าวันหนึ่งที่เท่งควรจะลงมือทำงานบ้านของแฟมิลี่ตามปกติได้แล้ว แต่ลุงวิลเลียม ป้าโดโรธี หลานเอ็มมี่ และหลานแกรี่ ก็ยังไม่เห็นมิสเตอร์เท่งออกจากห้องนอนเลยหลานแกรี่ไปเคาะประตูเรียกก็เงียบ
คงจะหลับ ตอนเที่ยงหลานเอ็มมี่ไปเคาะประตูเรียกอีกทีก็ไม่มีเสียงตอบ
ชักสงสัย
ตอนบ่ายๆป้าโดโรธีไปรัวเคาะอีกครั้ง ก็ยังเงียบ ร้อนถึงลุงวิลเลียมมาช่วยน็อค ออน เดอะ ดอร์ แบบรัวเร็วอยู่นาน ฟอร์ อะ ลอง ไทม์ ประตูจึงเปิดออก ปรากฏว่าเป็นมิสเตอร์เท่าสะลึมสะลือถามว่า
ว็อท แฮพเพิ้น
โอ
มายบอย ป้าโดโรธีสปี้ค ไอ ทิงค์ ยู เด้ด หรือแปลว่า กูนึกว่ามึงตาย-าไปแล้วน่ะสิ
แหมก็แค่นอนนานไปหน่อย นอนข้ามวันนิดเดียว เบี้ยวงานบ้านไปนิดหน่อย ทำตื่นเต้นเป็นฝรั่งตื่นไฟไปได้ ไม่รู้จักพี่ไทยแบบบุญเท่งซะแล้ว ว่าแล้วเท่งก็กลับไปล้มตัวลงนอนต่อ ถึงตอนนี้แฟมิลี่ก็อยากจะให้เท่งเด้ดเสียจริงๆให้รู้แล้วรู้รอด
และบุญเท่งก็ได้เจอกับคนไทยที่ว่าเป็นแฟนหนังสือ พี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่เค้าเขียนหรือเปล่า หล่อนคนนี้เอ่ยถามหลังจากได้รู้ว่าเท่งจบมาจากไหน รุ่นไหน ซึ่งเท่งก็รีบสั่นหน้า โน
โน
แล้วนึกได้ว่า พูดกับคนไทยเดียวกัน เลยเปลี่ยนเป็น เปล่า
ไม่มี
ไม่ใช่หรอก
หล่อนคนนั้นก็คุยต่อเรื่องอื่นๆอย่างไม่ติดใจอะไร แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ทำท่าซักไซ้ว่า
ไหนพี่พูด ส. เสือซิ
ส. เสือ
พูด..สาวแสนสวยใส่เสื้อสีแสด ซิ
สาวแสนสวย
เอ๊ะ
.ใส่เสื้อสีแสด มีอะไร
เธอยิ้มกว้างขวางออกมา ใช่แล้ว พูด ส.เสือไม่ชัดเหมือนกันเลย
เหมือนใคร เท่งรีบทัก
เหมือนคนชื่อเท่งในหนังสือน่ะสิ นั่นก็พูด ส.เสือ ไม่ชัด
ฮื้อ
คนพูด ส.เสือ ไม่ชัดมีเยอะไป
เธอทำหน้าว่าไม่เชื่อนักในคำกล่าวเลี่ยงๆนั้น
และเมื่อเวลาผ่านไป เธอก็ค้นพบว่าเท่งนั่นแหละ คือเท่งที่พูดถึงในหนังสือ เธอเล่าแกมฟ้องเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งว่า หนูมั่นใจเลยว่า พี่เท่ง ใช่
คนนั้นชัวร์ เอาตัวรอดเหมือนกันเลยล่ะ..ก็งี้ หนูจะเดินยู-ยูนิเวอร์ซิตี้นั่นเอง เจอพี่เท่งเค้าที่ป้ายรถเมล์ เค้าบอกเดินทำไมเมื่อยไปรถเมล์ดีกว่าจะได้นั่งคุยกันไปด้วย หนูก็ไป พอขึ้นรถเค้าบอก ตายล่ะ..ลืมเอาเศษตังค์มา หนูก็เลยออกให้ ไม่เป็นไรก็นั่งกันมาโดยไม่ได้คุยกันเลยเพราะพี่เท่งหลับ พอถึงที่ก็รีบลงกันแต่เกือบไม่ทัน เพราะพี่เค้างัวเงียก็รีบร้อนไปชนคุณป้าล้มลง เราก็รีบช่วย ปรากฏว่าพี่เค้าจ้ำไปไหนแล้วไม่รู้ เจอกันทีหลังเค้าบอกว่า พี่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งเลยไม่กล้าช่วย เดี๋ยวช่วยไม่รู้เรื่อง
ฟังแล้วรู้เลยว่าใช่เค้าแน่ พี่เท่งผู้รู้รอดคนนั้น
โดยคุณ :
pitsie~~ - [17:38:13 23 มี.ค. 2544] |