ยุทธจักร...วันอาทิตย์
....................................
เบื้องหน้า
คือขุนเขาที่สูงราวจะเคียงคู่ไปกับผืนฟ้า
เบื้องหลัง
คือสายธาราอันกว้างใหญ่
ที่นี่
นับเป็นโรงเตี๊ยมที่อยู่ในมุมของฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในมณฑลกวางลุ้งแห่งนี้...
หญิงสาวในชุดกรุยกรายฟูฟ่องผูกโบว์สีชมพูอันใหญ่ ยังคงง่วนกับการปั้นแป้งซาลาเปาจนหน้าเป็นมันเยิ้ม
พ่านพ่าน
เสียงดัง เหมือนติดพลังเทอร์โบ และทรงอำนาจเรียก
..นางค่อย ๆ เอี้ยวตัวไปมองหาต้นเสียงก่อนขานรับเสียงขุ่นมัวยิ่ง...
มีอะไรหรือ
ท่านพ่อ
..อือม์
ชายชราหรือบิดาของพ่านพ่านหยุดครุ่นคิดเล็กน้อย มือค่อย ๆลูบเคราสีเทาเงินนั้นอย่างสุขุม
เวลาปั้นไส้ซาลาเปา อย่าเหม่อ สติอย่าไผลเผลอ นั่น
นั่น ลูกใหญ่เบ้อเร่อแล้ว ผู้เป็นบิดากล่าวเตือน
ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว
พ่านพ่านสะบัดเสียง พลางซอยเท้ายิกยิก มือหนานุ่มบิไส้ออกจากตัวแป้งอย่างเสียมิได้
แม้สองพ่อลูกจะใช้วาจากล่าวกระทบกระเทียบเพียงแค่เรื่องปั้นไส้ซาลาเปา
แต่ทั้งคู่ยังคงง่วนกับการทำซาลาเปาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยเป็นกิจการอย่างเดียวที่สร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำ และเป็นผลิตภัณฑ์อันลือชื่อของโรงเตี๊ยมแห่งนี้
ในวันหนึ่ง ๆ โรงเตี๊ยมของสองพ่อลูก มีหน้าที่ต้อนรับเหล่าบรรดาจอมยุทธ์ที่แวะเวียนมาพำนักอยู่อย่างสม่ำเสมอ
.
บ้างก็มาร่ำสุรา บ้างก็แวะมาขอสูตรทำไส้ซาลาเปา
บ้างก็มาหาซื้อของฝาก บ้างก็เป็นจุดนัดพบเพื่อประลองฝีมือเพื่อหาความเป็นที่สุดในยุทธภพ
และบ้างก็มาถามหามิตรสหายที่สาบสูญไปตอนสมัยเรียนไท้เก้กด้วยกัน
หลากหลายล้วนแตกต่าง หลากเส้นทางและหลายจุดมุ่งหมาย
.
...หากแต่ไม่มีใครเหมือนบุรุษชุดดำที่ผ่านเข้ามาในคืนวันไหว้พระจันทร์
.คืนนั้นเลย
นางยังคงจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างแม่นยำ ราวกับมันเพิ่งอำลาจากไปเมื่อคืนนี้เอง
วันนั้น
มันเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง
อากาศเย็นสบาย
นางชวนผู้ติดตามหรือสาวใช้คนสนิทออกมานั่งรับลมที่ศาลาด้านนอก
หิมะขาวโพลนโปรยปราย เสียงลมหวีดหวิว ดาวดวงน้อยที่อยู่ไกลลิบลิบส่องประกายแวววับ
บรรยากาศรอบข้างล้วนเป็นใจ
นางนั่งทอดอารมณ์อย่างเคลิบเคลิ้ม
พู่กันในมือตวัดเขียนความรู้สึกดังตกอยู่ในภวังค์
ขนมไหว้พระจันทร์หลากไส้
หากใจล้วนหนึ่งเดียว
แปะแปะ
เหมยฮัวสาวใช้โห่ร้องด้วยความยินดีพลางปรบมือเหมือนถูกอกถูกใจ
คุณหนูน้อย
เยี่ยมค่ะ เยี่ยม ข้าชอบโคลงของท่านยิ่ง
นางอมยิ้มแก้มตุ่ย แต่มิทันที่จะได้สนทนากันต่อไป ก็ปรากฎเสียงหนึ่งที่ชวนตราตรึง ก้องไปทั่วขุนเขา
.
.จะไส้ทุเรียนหรือไส้ลูกบัว
ขอมอบแทนตัว
ในคืนพระจันทร์เสี้ยว
สิ้นเสียงฉับพลัน
ร่างบุรษชุดดำก็เหาะเหินเดินอากาศด้วยพลังตัวเบา กระโดดมาอยู่ตรงหน้า
โอ้
..คมแท้คมแท้ พ่านพ่านรำพึง เสียงแซ่ซ้องจนดังไปถ้วนทั่ว
มิทันที่บุรุษชุดดำจะน้อมรับคำชม อีกหนึ่งเสียง (เสียงเหมยฮัวนั่นเอง)...พลันกล่าวแทรกขึ้น...
คมจริง
กระบี่ท่านคมจริง
ดูสิท่าน ชายเสื้อโดนปลายกระบี่ เสื้อขาดแล้วท่าน
หามีผู้ใดล่วงรู้ไม่ว่าบุรุษชุดดำจะรู้สึกเช่นไร คงมีเพียงลูกตาภายใต้ผ้าอำพรางโฉมหน้านั้นที่ล่อกแล่กไปมา เหมือนคนเสียฟอร์ม
ทุกท่าน
.หยุดเถอ พ่านพ่านสงบเหตุการณ์ พลางสาวเท้าไปเบื้องหน้าบุรุษชุดดำ ค้อมศีรษะอย่างน่าเอ็นดู
โคลงที่ท่านต่อให้นั้นไพเราะจับใจยิ่ง
เอ่อ
ขอทราบนามท่านจอมยุทธ์ผู้นี้ได้หรือไม่
บุรุษชุดดำ หัวเราะเบาๆ ในลำคอ พลางตวัดกระบี่อันคมกริบ เก็บอย่างรวดเร็วแก้เขิน
ในระยะประชิดกันราวครึ่งลี้ นางพยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดไปยังบุรษชุดดำผู้นั้น
หรือท่านมิยอมรับข้าเป็นสหาย ไยถึงบอกชื่อไม่ได้เล่า
นางย้อนถาม
มิได้ มิได้ บุรุษในชุดดำฉุกคิดชั่วครู่ ก่อนใจอ่อน
ไร้ชื่อหาไร้ใจ
แม่ตั้งให้
ข้าชื่อเกรียง
สิ้นคำเฉลย
สายลมวูบหนึ่งพัดเข้ามาในศาลานั้น บุรษชุดดำก็ใช้พลังตัวเบา กระโดดหายไปกับพุ่มไม้
แม้จะผ่านมาหลายคืน
.หลายครา
...หญิงสาวยังคงหวนคำนึงถึงความสุนทรีย์ในโคลงกลอนที่บุรษนิรนามผู้นั้นต่อให้...
นางมิอาจรู้ได้ว่า
บุรุษในชุดดำที่นางได้เห็นเพียงใบหน้าลางลาง..จะแวะเวียนมาอีกเมื่อไหร่..
เพียงคำกล่าว
จากแดนไกล
ล้วนทำให้
โลกสดใส
ขึ้นมาอีกครา
.นางหยุดพู่กันลงอย่างช้าช้า
ในใจยังคงหวังว่าบุรุษชุดดำผู้นั้นจะรับรู้ถึงความนัยเยี่ยงค่ำคืนนี้
เสียงกระแอมดังเบา ๆ บริเวณหลังร้าน นางรีบสาวเท้าไปด้วยความว่องไว หรือจะเป็นเสียงบุรุษชุดดำในคืนไหว้พระจันทร์นั้น
ในห้องใต้ดินนั้น... ผู้เป็นบิดายังคงปั้นซาลาเปาเสียงกุกกัก
นางถอนหายใจเบา ๆ สีหน้ามิอาจซ่อนความผิดหวังเอาไว้ได้ พลางค่อยค่อยสาวเท้าออกมาและปิดประตูห้องอย่างเงียบเชียบ..
ฟิ้วส์ กระดาษม้วนเล็ก ๆ พุ่งตรงมาจากพุ่มไม้ นางกระโดดถอยหลังไปราวสองสามก้าว พลางใช้วรยุทธ์ สองมือถือสาส์น ปราดเข้ารับม้วนกระดาษปริศนานั้นด้วยทีท่าอ่อนช้อย...
ใครกัน
นางตะโกนถามหาผู้อยู่หลังพุ่มไม้นั้น
เรียกพ่อหรือ...พ่านพ่าน ผู้เป็นบิดาตะโกนตอบมาจากหลังร้าน
มาเถอะ
มาปั้นไส้ต่อได้แล้ว หญิงสาวเริ่มละล้าละลัง ห่วงไส้ซาลาเปาก็ห่วง อยากรู้ผู้ที่ส่งสาสน์ปริศนานั้นก็อยากรู้
.
มิทันที่นางจะได้ตัดสินใจ ผู้เป็นบิดาก็เดินอาดอาดมาจากห้องใต้ดินนั้น
นางหันกลับไปมองพุ่มไม้นั้นอีกครา แต่ทุกอย่างยังคงเงียบกริบ เขาคงไปแล้วกระมัง
นางครุ่นคิด ในมือยังคงถือกระดาษนั้นอย่างทะนุถนอม
นางตัดใจเดินตามบิดาไปอย่างเชื่องช้า ระหว่างทางนางค่อย ๆ แกะม้วนกระดาษอย่างแผ่วเบา
...ลายพู่กันตวัดเป็นตัวอักษรอยู่เพียงไม่กี่ความคำ...
แม้จะไม่ได้ลงชื่อผู้ส่ง แต่นางก็อดยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นเศษผ้าสีดำที่ติดมากับกระดาษแผ่นนั้น
มาคือไม่มา
ไม่มาคือมา
หากถามหา
ทุกอย่าง
ล้วนอยู่ในใจ
.
.................................
โดยคุณ :
ชมพูพันธุ์ทิพย์ - [12:21:10 20 พ.ค. 2544] |