กระดานความรู้สึก


Once in a Lifetime ฝันของ 'แต๋ง' เพื่อวงการดนตรี
ไม่ได้ไปดู แต่ส่งใจไปเชียร์ ^^

++++++++++++++++
Once in a Lifetime ฝันของ 'แต๋ง' เพื่อวงการดนตรี
โดย : รุ่งนภา พิมมะศรี
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/star/20100318/105507/Once-in-a-Lifetime-ฝันของ-แต๋ง-เพื่อวงการดนตรี.html
สมาชิกวงเฉลียง, ผู้บริหาร 'ทีวี ธันเดอร์' , อดีตโปรดิวเซอร์ค่ายคีตา คือบทบาทของ แต๋ง ภูษิต ไล้ทอง ที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดีอยู่แล้ว

โฆษณาโดย Google
ติวสอบดุริยางคศิลป์มหิดล
ติวศิลปากร มศว. รังสิตดนตรี สนใจโทร 0870232754
www.musicmaster-school.net
เตียงผู้ป่วยให้เช่า
เตียงไฟฟ้าปรับระดับคุณภาพสูงนำเข้า เริ่มต้นเพียงวันละ 355 บาท
ModernformHealthCare.co.th  ก่อนจะสวมหมวกหลาย ๆ ใบที่ว่ามานี้ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 40 ปีก่อนหน้านั้น เด็กชายแต๋ง ภูษิต คนเมืองสิงห์ เริ่มเล่นดนตรีกับ "แตรวง" ของโรงเรียนตอนเรียนอยู่ชั้น ป. 6 เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เขาเล่นคือฉาบทั้งที่ใจอยากเล่นเมโลเดียน  พอขึ้นมัธยมได้เล่นคลาริเน็ต  กว่าจะได้เล่นแซ็กโซโฟน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำกาย ก็ปาเข้าไปเกือบจบมัธยมแล้ว

เขาเล่าย้อนความหลัง โดยมีน้ำใส ๆ คลออยู่ในดวงตา “เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแซ็กโซโฟน มันเป็นเครื่องดนตรีที่สวยมาก  แล้วถึงขนาดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง  มันต้องเป็นเครื่องดนตรีที่ยิ่งใหญ่มาก  ก็เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเล่นแซ็กโซโฟน”

หลังจากจบมัธยม ภูษิต เข้าเรียนต่อที่คณะครุศาสตร์ เอกดนตรี  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้ ธนิสร์  ศรีกลิ่นดี  ซึ่งเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน (ครูทองดำ) เป็นผู้ติวให้

“สิ่งที่ อ.ธนิสร์สอน เราไม่เคยเรียนมาก่อนในชีวิต ตั้งแต่ทฤษฎีดนตรี  เอาตำราประวัติศาสตร์ดนตรีมาให้อ่าน  เอาโน้ตเพลงคลาสสิคมาให้ดู  ให้ยืมแซ็ก ฯ เป่า ให้ยืมแซ็ก ฯ ไปสอบ  เป็นอะไรที่ไม่เคยรู้มาก่อน  แต่มันก็เรียนรู้เร็วเพราะเรามีความชอบ”

เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต๋ง เป็นนักดนตรีของวง CU.Band นับแต่นั้นมา ชีวิตของเขาก็เกี่ยวข้องกับดนตรีมาตลอด เริ่มต้นจากนักดนตรีในวงสยามกลการ, สมาชิกวงเฉลียง หรือโปรดิวเซอร์ค่ายคีตา

จนวันหนึ่ง...เมื่อผลลัพธ์ของธุรกิจดนตรีไม่เอื้ออำนวยให้คนดนตรีหล่อเลี้ยงชีพ บรรดานักดนตรี โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง  ต่างพากันเบนเข็มไปทำอาชีพอื่น  เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น  “เราเป็นคนหนึ่งที่คิดว่า  เราไม่จำเป็นต้องไปยืนอยู่จุดนั้นจุดเดียวที่จะทำประโยชน์ให้สังคมได้” เขาให้เหตุผล

เมื่อมาทำธุรกิจรายการทีวี (ทีวี ธันเดอร์) แต๋งห่างหายจากการเล่นดนตรี ภาพความเป็นนักดนตรีของเขาในสายตาคนภายนอกค่อย ๆ จางลงไป  ทว่า โดยจิตวิญญาณนักดนตรีย่อมเป็นนักดนตรีอยู่วันยังค่ำ ในความคิดและหัวใจ จึงมีเรื่องดนตรีวนเวียนอยู่ไม่ว่างเว้น

“มันน่าหดหู่อย่างหนึ่งว่า ในขณะที่นักดนตรีไทยเก่งขึ้นทุกวัน  แต่วงการเพลงมันถดถอย  แล้วคนเก่งเหล่านี้จะไปรับใช้สังคมด้วยวิธีไหน เสียงมันต้องมีคนฟังมันถึงจะครบวงจร วงการดนตรีบ้านเราก็ไม่ถึงขั้นตกต่ำ  แต่มันถดถอยเรี่องการสนับสนุนมากกว่า  ทั้งภาครัฐและผู้บริโภค ไม่ได้สนับสนุนอย่างจริงจัง  สังคมไทยยังมองนักดนตรีหรือศิลปินเหล่านี้ว่าเป็นของฟรี เช่นนักดนตรีออกอัลบั้ม เราไม่เคยตั้งใจจริง ๆ ว่าฉันจะซื้อมาฟัง  แต่ตั้งใจว่าฉันอยากฟังทำยังไงก็ได้ให้ได้ฟัง  ไม่ต้องเสียตังค์ก็ยิ่งดี นั่นคือการทำลายความตั้งใจของผู้สร้างสรรค์ เพราะเขาไม่มีอาชีพอื่น  คนจะเล่นดนตรีให้เก่งต้องฝึกฝนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมงเท่ากับเวลาทำงาน มันถึงจะเก่งได้  ฉะนั้น เขาก็ไม่มีเวลาไปทำงานหาเลี้ยงชีพ ถ้าเรายังไม่ให้ตังค์ในส่วนที่เขาทำงาน มันก็จะได้แต่นักดนตรีสมัครเล่น นี่คือสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกของคนที่ไม่มีใครกระตุ้นให้เขาคิดอีกทางที่มันถูก  เขาก็ทำสิ่งนั้นเป็นขนบทำสืบทอดกันมาเรื่อย ๆ"

“ถ้าพูดถึงเรื่องศิลปวัฒนธรรมของคนไทย รสนิยมในการเสพศิลปะของคนไทยยังบกพร่อง อย่างเพลงก็ได้ใกล้ ๆ ตัว สังคมไทยมักจะฟังเพลงกันเป็นแฟชั่น เมื่อหมดความนิยมก็จะทิ้งและลืมไปเลย  แล้วเปลี่ยนไปฟังแบบใหม่  คำที่ว่า เกิดไม่ทัน มันเป็นคำปฏิเสธของคนที่ไร้ซึ่งรสนิยม  อย่างเช่นว่าคุณเคยฟังเพลงนี้ไหม ไม่เคยก็บอกว่าไม่เคย มันไม่แปลก ฟังแล้วชอบไหม  ไม่ชอบก็ไม่ผิด แต่คำว่าเกิดไม่ทัน แปลว่าฉันไม่สนใจศิลปะที่ฉันเกิดไม่ทัน ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี  พูดแบบนี้บ่อย ๆ เพลงไทยของเราก็จะถูกตัดท่อน เพราะฉะนั้น วัฒนธรรมมันถูกตัดท่อน ต่อให้มันยาวหรือลึกแค่ไหน มันก็ไม่มีทางแข็งแรง  เหมือนที่เรามักจะภูมิใจเสมอว่าวัฒนธรรมไทยมีอายุยืนยาวกว่าอเมริกา ออสเตรเลีย  หรืออีกหลาย ๆ ประเทศ  แต่เราลืมมองว่าที่เราว่านานมันแข็งแรงเท่าเขาไหม”

ภูษิต บอกเล่าถึงเหตุผลที่กลับมาทำคอนเสิร์ต Once In A Lifetime ทั้งที่ตัวเขาเองห่างจากภาพความเป็นนักดนตรีไปนานพอสมควรว่า

“นักดนตรีทุกคนก็ฝันว่าการเล่นดนตรีกับวงดี ๆ แล้วเล่นเพลงเพราะ ๆ  นั่นคือสุดยอด  คือสิ่งที่เราอยากทำ  เป็นความฝันของเราตั้งแต่สมัยเรียน  วงดนตรีที่เป็นวงออร์เคสตรา มีเครื่องสายเยอะ ๆ เพราะ ๆ มีเครื่องเป่าเยอะ ๆ เป็นบิ๊กแบนด์แจ๊ส  แล้วเราเล่นอยู่ในนั้นด้วย  นั่นคือสิ่งที่เราอยากให้มันเกิด เป็นที่มาของคอนเสิร์ตนี้ Once in a Lifetime แปลได้หลายอย่าง  หนึ่งคือรอมานานแล้ว...ขอสักทีเถอะ  หรืออีกอย่างคือช่วงจังหวะใดจังหวะหนึ่งที่คนไม่คิดว่ามันจะมี แต่มันก็เกิดขึ้นได้”

เมื่อเป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกที่ฝันและรอมานาน จึงน่าสนใจไม่น้อยว่า เขาทุ่มเทกำลังกาย  กำลังใจ  และกำลังทรัพย์มากน้อยเพียงใด และจะมีอะไรเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตนี้บ้าง

“มีอยู่ 3-4 อย่างที่เป็นเป้าหมาย หนึ่งคือเราต้องเป่าแซ็ก ฯ อยู่ในวงที่ดีที่สุดก็คือวงออร์เคสตรา  นักดนตรีต้องเล่นเก่ง ในยุคนี้นักดนตรีไทยเก่งกว่าในยุคที่ผมเป็นนักเรียนเป็นร้อยเท่า เราอยากเล่นเพลงที่เราอาจพูดได้ว่า เพราะที่สุดในโลก ที่พูดอย่างนั้นเพราะเป็นเพลงที่คนรู้จักต่อเนื่องยาวนานมาหลายสิบปี  ไม่เคยเสื่อมความนิยม เพลงพวกนี้ถ้าถูกคัดเลือกมาเล่นกับวงดนตรีดี ๆ ก็น่าจะดี  เราน่าจะมีนักร้องที่มาสื่อสารภาษาที่อยู่ในเพลงนั้นด้วย เป็นที่มาของการเชิญนักร้องที่ฝีมือดี ๆ  มาร่วมคอนเสิร์ตครั้งนี้"

“อีกประการหนึ่งคือแนวดนตรีที่หลากหลาย  ไม่ได้จำแนกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างสามารถหลอมรวมกันได้  ภายใต้การอะเรนจ์  การแยกแยะ  คือจับความเหมาะสมของดนตรีแต่ละแนวได้  ฉะนั้นจึงมีทั้งสแตนดาร์ดแจ๊ส ละติน ป๊อป ร็อก บัลลาด  รวมถึงเพลงแบบเฉลียง  เพลงไทยคลาสสิค ... คือเราไปแยกแยะเองว่าพวกร็อกมาเล่นกับพวกแจ๊สไม่ได้หรอก ซึ่งไม่จริง  คอนเสิร์ตนี้จะทำให้เห็นว่า เมื่อคุณโป่ง - หิน เหล็ก ไฟ  ร้องเพลงร็อกคู่กับคุณรัดเกล้า แล้วมีเสียงแซ็กโซโฟนจะเป็นยังไง  หรือศิลปินอัลเทอร์เนทีฟตัวพ่ออย่าง ป๊อด มาร้องเพลงสแตนดาร์ดแจ๊สกับวงบิ๊กแบนด์แจ๊สจะเป็นยังไง  เบน ชลาทิศ มาร้องเพลงไทยคลาสสิคของหม่อมพวงร้อย แล้วอะเรนจ์ให้เป็นบอสโนวาแจ๊สจะเป็นยังไง"

“เราไม่ยัดเยียดเพลงจากค่ายใดค่ายหนึ่งเพียงค่ายเดียว  ไม่ใช่เฉพาะเพลงไทย หรือเพลงฝรั่ง  เพลงอะไรก็ได้ในโลกนี้  เพราะดนตรีไม่มีกำแพงกั้น  ดนตรีคือภาษาสากล บางทีฟังไม่ออกว่าเนื้อหาพูดถึงอะไร แต่รู้สึกว่าเพราะ สนุก  มีความรื่นรมย์ น่าจะเป็นรูปแบบคอนเสิร์ตอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ค่อยมีในบ้านเรา”

สำหรับนักร้องที่มาเป็นแขกรับเชิญในงานนี้ แต๋งเป็นผู้เลือกเองทั้งหมด  ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นรุ่นน้อง ๆ ที่ฝีมือเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว  ทั้ง โป่ง - หิน เหล็ก ไฟ, ป๊อด  โมเดิร์น ด็อก, ญารินดา, บี พีระพัฒน์, เบน ชลาทิศ  อีกกลุ่มหนึ่งเป็นเพื่อน ๆ ที่รู้จักสนิทสนมกันมานาน  คือ เจี๊ยบ, ดี้, เกี๊ยง  และรัดเกล้า ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มนักดนตรีที่จะมาเป็น แซ็กโซโฟน แจม เซสชั่น  คือ อ.ธนิสร์, โก้ Mr.Sax Man และ ต้นไม้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นของเขาเอง

“อยากเล่นให้ดี ถึงมีคนฟัง 10 คนก็ถือว่า 10 คนนั้นได้สิ่งดีที่สุดที่เราตั้งใจทำไป ถ้าคนดูเต็มแน่นก็คงเป็นความสำเร็จของนักดนตรีไทยที่ได้อวดฝีมือ  แต่ถ้าคนดูน้อยไปหน่อย อย่างที่ว่า 10 คนก็เชื่อว่า 10 คนนั้นก็ได้สิ่งดี ๆ กลับบ้านไป ถ้ามีโอกาสก็ทำใหม่ หรือคนบางคนที่ไปนั่งอยู่ในนั้นแล้วมีแรงบันดาลใจ  เหมือนครั้งหนึ่งที่โก้ Mr.Sax Man เขาเคยเห็นเราเล่นแซ็ก ฯ แล้วเขาเล่นตามอย่างนั้น  จนวันนี้เขาเป็นนักแซ็กเก่งที่สุดในประเทศ  นี่คือความภูมิใจ  เราไม่ได้สอนเราไม่ได้สร้าง แต่เราเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของเขา ก็คุ้มแล้ว ในวันนั้นอาจมีใครสักคนเติบโตขึ้น เป็นนักดนตรีเอกของโลกจากแรงบันดาลใจครั้งนั้น”  ภูษิต ไล้ทอง ทิ้งท้าย

...........................................................

คอนเสิร์ต Once In A Lifetime จะมีขึ้นในวันเสาร์อาทิตย์ที่ 20-21 มีนาคม ศกนี้ เวลา 19.00 น. บัตรมีจำหน่ายที่ TTM โทร.02-2623456
โดยคุณ : เจ้าขาคาบข่าวมาอีกแว้ว - [9:59:06  18 มี.ค. 2553]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....