จากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (a day และ summer : นิตยสารทางเลือกที่อันตราย )
ได้รับข้อความข้างล่างจากเพื่อนคนนึง ก็เลยเอามาแบ่งปันกันดู นานจิตตังนะครับ อย่าคิดมาก
ข้างล่างนี้เป็นบทความที่ได้มีการกล่าวถึงนิตยสาร A Day & Summer และ
ได้พาดพิงไปถึงประภาส เพลงดาบฯ โน้ต อุดม ปราย พันแสง
รู้สึกว่าจะเคยส่งไปให้เมื่อนานมากๆ แล้ว พอได้ฟังเมื่อวันอาทิตย์ก็เลยมีคนหา &
แปะมาให้อ่านอีก
a day และ summer :
นิตยสารทางเลือกที่อันตราย
ธดา
----------------------------------------------------------------------------
----
...เป็นคนค่อนไปทางสุขนิยม อะไรทุกข์ก็อยากจะลืม ๆ ไปบ้าง
พยายามคิดค้นอีกด้านหนึ่ง เป็นคนชอบความสบายใจ ความสวยงาม
แต่ก็ต้องมีความรู้ด้วย ตัวตน SUMMER จะเป็นอย่างนี้
(ละออ ศิริบรรลือชัย บรรณาธิการนิตยสาร summer)
...(a day)เป็นนิตยสารที่คิดมาก แต่อ่านง่าย เป็น positive thinking magazine
ของคนรุ่นนี้ที่หน่ายกฎเกณฑ์เก่า ๆ รำคาญความซ้ำซากจำเจ
ถ้าเปรียบเป็นคนจะเป็นพวกรวยอารมณ์ขัน ทันสมัย ช่างคิด มองโลกในแง่ดี แหกคอก
ขณะเดียวกันก็ฉลาดพอที่จะรู้จักกาลเทศะ
(วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บรรณาธิการนิตยสาร a day หรือตำแหน่ง "Visionary
Director" ตามที่ปรากฏในนามบัตรของเขา)
----------------------------------------------------------------------------
----
summer และ a day เป็น ๒ ใน ๕ นิตยสารที่ GM (ฉบับเดือนสิงหาคม ๒๕๔๓)
เรียกว่าเป็น "หน่วยรบเลือดใหม่ในสังเวียนนิตยสาร" โดยอีกสามนิตยสารได้แก่
OPEN, HOW-TO และ Alternative Writer
เหตุที่ผู้เขียนเลือกกล่าวถึงเฉพาะการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของนิตยสาร summer และ
a day หรือที่วงศ์ทนงจัดประเภทตัวเองไว้ว่าเป็น "positive thinking magazine"
นั้นก็เพราะความเป็น "เลือดใหม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของบทความนี้
แต่เพราะผู้เขียนคิดว่ามีอันตรายบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังวิธีคิดแบบ
"สุขนิยม", "มองโลกในแง่ดี" รวมทั้งการเฝ้าชื่นชมหลงใหลใน "เรื่องเล็ก ๆ
ที่งดงาม" ของนิตยสารที่เลือกมองแต่ความรื่นรมย์ของโลกอย่าง summer และ a day
ต่างหาก
ไม่ว่าคนทำนิตยสารจะมีเลือดเก่าหรือเลือดใหม่อยู่ในตัว
มันก็น่ากลัวด้วยกันทั้งนั้นถ้าหากว่าพวกเขาไม่ใส่ใจจะมองปัญหาเชิงโครงสร้าง
หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
ไม่วิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างถอนรากถอนโคนและทำเป็นมองไม่เห็นถึงผลกระทบ
จากการใช้ชีวิตของชนชั้นกลางในเมือง (อย่างพวกเขา)
ต่อคนส่วนใหญ่แล้วจงใจหลบเลี่ยงไปอ่อนไหวอยู่กับเรื่องราวประเภท
บางทีผมเหยียบมดตายทั้ง ๆ ที่ผมไม่เจตนา ผมเหยียบต้นหญ้าจนบอบช้ำอยู่เรื่อย
(คอลัมน์ Analize This ของ โลเลและนายขนุน ; summer premiere issue
November+December 1999 ) หรือหลีกหนีความโหดร้าย
ที่คนในสังคมกระทำต่อกันด้วยกันคร่ำครวญ / โหยหาอดีตอันรื่นรมย์ เช่น โฆษณาเก่า
ๆ , สินค้าเก่า ๆ และภาพยนตร์ดี ๆ ในอดีต ดูได้จากคอลัมน์ yesterday, แอด ฟอร์
ฟัน และสกู๊ปเรื่อง Nampoo
something still remains (a day ; number 2, October
2000.)
ดูเหมือนเราจะคาดหวังอะไรกับนิตยสารกลุ่มมองโลกสวยงาม-เน้นความมีอารมณ์ดีนี้ไม่
ได้มากไปกว่าเนื้อหา ที่เร่งเร้าให้ผู้อ่านหันมาหาความรื่นรมย์ใส่ชีวิต
ข้อความประเภท
ไม่เร่งรีบ เหนื่อยก็พัก
ขี้เกียจเข้าก็ล้มตัวลงนอนหรือจะถอยกลับไปข้างหลังบ้างก็ได้
เพราะบางทีเราอาจทำของสำคัญตกหล่นไว้ บนระหว่างเส้นทางที่ผ่านมา (Walking
Story ; summer issue 6, July 2000.) หรือ
มีความสุขกับหนังสือดี ๆ สักเล่ม
เขียนโปสการ์ดถึงคนที่คิดถึงหรือเปิดเพลงโปรดให้เพลงเพราะ ๆ
กล่อมเราเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสุข เข้าสู่โลกอีกโลกที่ชื่อว่า ความฝัน
(คอลัมน์ Bed Time ; a day, number 1, September 2000) มีให้อ่านอยู่มากมายใน
summer และ a day จึงไม่แปลกเลย ถ้าพวกเขาจะมองว่าการทำหนังสือก็เป็นเหมือน
คนพเนจรที่ระหว่างทาง อาจจะเจอร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งที่ดูน่าอร่อย
เอ้าแวะกินก่อน ไปเจอสวนดอกไม้ก็แวะเดินชม
หรืออาจจะเด็กสักคนก็ลงไปทักทายเพราะเราไม่รีบ ค่อย ๆ เก็บรายละเอียดให้ชีวิต
(ภาสกร ประมูลวงศ์ นักเขียนและครีเอทีฟของ a day ให้สัมภาษณ์กับ GM)
วิธีคิดแบบนี้กำลังถูกเผยแพร่เพื่อสร้างเครือข่ายและหาแนวร่วมอย่างดุเดือดขึ้นเ
รื่อย ๆ ทุกวันนี้ นอกจากจะมีนิตยสารประจำกลุ่มอย่าง summer และ a day แล้ว
สมาชิกมองโลกสวยงามยังมีคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์รายวัน-รายสัปดาห์อีกจำนวนหน
ึ่ง เช่น ใน "มติซน" (หน้า ๑๔ นสพ.มติชนฉบับวันอาทิตย์)
รวมทั้งมีวงสนทนาว่าด้วยเรื่องราวเล็ก ๆ ซึ่งดำเนินไปอย่างแสนคึกคักใน
bookcyber.com อีกด้วย
โตมร ศุขปรีชา
นักเขียนผู้ผ่านการทำงานกับนิตยสารมาแล้วหลายฉบับเคยเขียนถึงการมองโลกในแง่ดีไว
้ในคอลัมน์ Inspiration นิตยสาร Image ว่า
"...ทุกวันนี้ การมองโลกในแง่ดีกลายเป็นกระแส กลายเป็นแฟชั่น กลายเป็นธงรบ
กลายเป็นศาสนาและกลายเป็นของเก๋ของคนกลุ่มหนึ่ง
แต่บางทีอาจจะเก๋เกินไป-เพราะการมองโลกในแง่ดีหลายครั้งไม่ได้ ดี จริง...
และหลายครั้งถึงกับถูกใช้เป็นอาวุธ ถึงขั้นเป็นการใช้ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม
ที่สำคัญก็คือ แทบจะไม่มีใครตั้งคำถามต่อการมองโลกในแง่ดีเลยแม้แต่คนเดียว
ที่ผมอด มองโลกในแง่ร้าย และทำให้รู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ก็คือ ผมเห็นว่า
ฝูงที่มองโลกในแง่ดีต้องเป็นฝูงที่มีความสุขมากพอที่จะมองโลกในแง่ดีได้
นั่นแปลว่าฝูงที่มองโลกในแง่ดีต้องเป็นฝูงที่พออกพอใจกับชีวิตของตนในระดับหนึ่ง
และนั่นย่อมหมายความว่า
ฝูงนั้นพอใจกับระบบสังคมและโครงสร้างของสังคมที่ดำรงอยู่
ซึ่งก็คือสังคมแบบทุนนิยมที่มีระบบคิดแบบชนชั้นกลางเป็นใหญ่ เป็นสังคมที่
นิพพาน ของมัน คือ การสามารถขายทุกอย่างได้
แม้แต่ความสุขที่เกิดจากการมองโลกในแง่ดี !
งานเขียนของโตมรชิ้นนี้ยังโจมตีไปไกลถึงขนาดว่า
การชักชวนให้ผู้คนหันมามองแต่เรื่องสวย ๆ งาม ๆ
นั้นไม่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธ
เพราะแก่นของพุทธศาสนาคือการพิจารณาชีวิตตามที่มันเป็นจริงเพื่อให้รู้ว่าชีวิตน
ั้นเป็นทุกข์ อันจะนำไปสู่การค้นหาสมุทัย นิโรธ มรรค
เพื่อให้พ้นจากทั้งสุข-ทุกข์ในที่สุด
แม้จะเคลือบแคลงใจอยู่บ้างว่าโตมรเองก็อาจจะเป็นพวกฝันเฟื่องใน "เรื่องเล็ก ๆ
ที่งดงาม" หรืออยู่ในฝูงที่มองโลกในแง่ดีด้วยเหมือนกัน
เพราะเขาเคยเป็นคู่หูกับวงศ์ทนงในช่วงที่ทำนิตยสาร Trendy Man และ Image
เคยคิดจะทำนิตยสารด้วยกันมาแล้วด้วยซ้ำ
แต่ถึงตอนนี้คงต้องยอมรับว่าไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์
และพูดถึงอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังวิธีคิด วิธีมองโลก
ของคนกลุ่มนี้ได้ชัดเจนเท่าเขาอีกแล้ว
บรรพบุรุษของมนุษย์สายพันธุ์นี้คือใคร ?
พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาด้วยปัจจัยหรือสภาพสังคมแบบไหน ?
ผู้เขียนต้องสารภาพว่ามีความรู้เกี่ยวกับพลวัตของสังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ไม่มากพอที่จะหาคำตอบให้ได้
รวมทั้งไม่รู้จะให้คำจำกัดความคนกลุ่มนี้ว่าอย่างไรด้วย
รู้แต่เพียงว่าพวกเขาชอบเขียนและพร่ำพูดถึงเรื่องการเดินทาง, การท่องเที่ยว,
ความใฝ่ฝัน, ตัวตน, รอยยิ้มของเด็กและคนแก่, ดอกไม้ในทุ่งหญ้า,
ร้านก๋วยเตี๋ยวน่ารัก ๆ ริมทาง, คนเล็ก ๆ , เรื่องเล็ก ๆ ที่น่าจดจำ,
ร้านกาแฟเล็ก ๆ , ร้านหนังสือเล็ก ๆ, มิตรภาพและน้ำใจแสนหวาน
ประภาส ชลศรานนท์, สมาชิกศิษย์สะดือ, เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย, ปราย พันแสง,
วงเฉลียง, อุดม แต้พานิช, ปราบดา หยุ่น, โรเบิร์ต ฟูลกัม
(ผู้เขียนหนังสือยอดฮิตเรื่อง True Love, ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา และคนที่ประกาศว่า
ความเฟื่องฝันมีอานุภาพมากกว่าความจริง) เป็นตัวอย่างบุคคลที่พวกเขาปลื้ม
คิดว่าน่าสนใจและมีอะไรให้ค้นหา
ถ้อยคำที่พวกเขาใช้อยู่บ่อย ๆ มักอยู่ในกลุ่มคำว่าด้วยความฝัน (ความใฝ่ฝัน,
นักฝัน, ประกายฝันน้อย ๆ, กล้าที่จะฝัน, ก่อร่างสร้างฝัน, ทำตามความฝัน)
การเดินทาง (เส้นทาง,คนเดินทาง,ผจญภัย,การค้นหา,การแสวงหา) ความอบอุ่น
(อุ่นอารมณ์,เรื่องอุ่น ๆ,ข้อเขียนอุ่น ๆ,กรุ่นบรรยากาศเอื้ออาทร) ความงาม
ความรัก ความโรแมนติก ความอ่อนไหว เป็นต้น
ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่
แต่มุมมองและอารมณ์ความรู้สึกต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคมที่คนของ summer และ a
day กำลังเผยแพร่อยู่นี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงสิ่งที่มิลาน คุนเดอรา
ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต เรียกว่า รสนิยมสาธารณ์
ซึ่งหมายถึงความรู้สึกแบบที่มวลชนส่วนใหญ่คล้อยตามได้ง่าย ๆ
คุนเดอราบอกว่า รสนิยมสาธารณ์ไม่เน้นสภาพการณ์ที่ผิดธรรมดา
แต่ต้องมาจากภาพพจน์พื้นฐานที่คนทั่วไปจดจำฝังแน่น เช่น ลูกสาวไม่รักดี
พ่อผู้ถูกทอดทิ้ง เด็ก ๆ วิ่งเล่นบนสนามหญ้า มาตุภูมิที่ถูกทรยศ
รักครั้งแรก
รสนิยมสาธารณ์ดลใจให้น้ำตาสองหยดไหลติดต่อตามกันอย่างรวดเร็ว
น้ำตาหยดแรกครวญว่า : ช่างงดงามเสียนี่กระไรที่ได้เห็นเด็ก ๆ
วิ่งเล่นบนสนามหญ้า ! น้ำตาหยดที่สองพิไรว่า :
ช่างงดงามเสียนี่กระไรที่ได้ซึ้งใจไปกับมนุษยชาติทั้งมวลเมื่อได้เห็นเด็ก ๆ
วิ่งเล่นบนสนามหญ้า
นักเขียนผู้นี้ยังเตือนเอาไว้ด้วยว่า
รสนิยมสาธารณ์คือฉากที่ใช้กำบังความตาย
บนเปลือกหน้าคือสิ่งมดเท็จที่ทุกคนเข้าใจ เบื้องหลังลึกลงไป
สัจจะที่ไม่มีใครเข้าใจฉายลอดออกมา
summer และ a day ซึ่งประกาศตัวว่าเป็น นิตยสารทางเลือก นี้
ดูเหมือนจะเป็นโรงงานผลิตรสนิยมสาธารณ์หรือเครื่องมือสืบทอดรสนิยมสาธารณ์ชิ้นล่
าสุด เป็นคัมภีร์ที่ใช้เผยแพร่ลัทธิเล็ก ๆ ที่งดงามของพวกเขา
และเป็นเครื่องหมายการค้าของพวกสุขนิยม ซึ่งเมื่ออ่านจากบทบรรณาธิการของ a day
ฉบับปฐมฤกษ์ที่เขียนถึงจุดเริ่มต้นของนิตยสารฉบับนี้ไว้ว่า
"เอาความคิดใส่กระดาษ ๕ แผ่น ส่งไปให้อ่าน
แล้วคนเป็นพันส่งเงินกลับมาสมทบจนได้ครบล้านบาท..." ,
จำนวนคนที่เข้าไปพูดคุยถึงนิตยสารทั้งสองในห้องสนทนาทางอินเทอร์เน็ต,
อีเมล/จดหมาย/ไปรษณียบัตรวันละ ๘๐ ฉบับที่ถูกส่งมาถึงสำนักงานนิตยสาร a day,
คำพูดของบก.summer ที่ว่า ผู้อ่านของเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ไปจนกระทั่งถึงข้อความที่วงศ์ทนงเขียนถึงผู้อ่านคนหนึ่งใน bookcyber.com ที่ว่า
"ผมบอกได้อย่างหนึ่ง จากยอดขาย a day ที่อยู่ในมือ คือ กลุ่มของผม ไม่เล็ก
ครับ"
คงเป็นเครื่องยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่าฝูงคนมองโลกในแง่ดีหรือพวกคลั่งไคล้
"เรื่องเล็ก ๆ ที่งดงาม" นั้นไม่ใช่เล็ก ๆ เลย
เป็นไปได้หรือไม่ว่า
เหตุที่วิธีการมองโลกของคนกลุ่มนี้เป็นที่นิยมของคนเป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็
วก็เพราะว่ามันมีลักษณะเป็น รสนิยมสาธารณ์ นั่นเอง
summer (ราคา ๘๐ บาท) ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๒
ปีแรกประกาศว่าจะวางแผงปีละ ๘ เล่ม แต่ปัจจุบันกำลังเปลี่ยนมาออกรายเดือน
summer อธิบายตัวเองว่าเป็น The Life style for All Season
เป็นนิตยสารที่เกิดขึ้นจากความต้องการขยายธุรกิจของกลุ่ม art4d
โดยมีบรรณาธิการเป็นละออ ศิริบรรลือชัย
อดีตผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสารเที่ยวรอบโลกและถ้าย้อนหลังไปไกลกว่านี้อีกหน่อยก็
จะพบว่าเธอเป็นหนึ่งในสมาชิก "ศิษย์สะดือ" (หนึ่งในผู้เขียน
หนุ่มนักโบกกับสาวขี้บ่น) summer แต่ละฉบับจะมีคอนเซ็ปต์เดียวกันทั้งเล่ม เช่น
ผู้หญิงเดินทาง ความรัก มิลเลนเนียม กาแฟ การผจญภัย หนทาง เป็นต้น
a day (ราคา ๖๐ บาท) ก่อตั้งเมื่อสิงหาคม ๒๕๔๓ วางแผงทุกต้นเดือน วงศ์ทนง
ชัยณรงค์สิงห์ ผู้เป็นบรรณาธิการเคยผ่านงานนิตยสารมาแล้วหลายเล่ม เช่น
Hi-Class, Image, Life&Decor, GM, Trendy Man และช่วงสั้น ๆ ก่อนหน้า a day
ฉบับแรกจะวางแผง เขาลงมือเขียนคอลัมน์ เรื่องเล็ก
ในมติชนสุดสัปดาห์ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเล็ก ๆ ที่เขาคิดว่างดงามน่าจดจำ
เช่น เรื่องราวของคุณป้าที่ขับรถสีขาว, หญิงสาวขายขนมปังที่เขาเดินผ่านทุกวัน
เป็นต้น
แม้ว่า เรื่องเล็ก
จะปรากฏตัวอยู่ไม่นานนักแต่มันก็ได้ทำให้คนที่เห็นดีด้วยกับการมองโลกแบบวงศ์ทนง
เพิ่มขึ้นอีกมากมายก่ายกอง เป็นไปตามแผนการที่เขาบอกกับ GM ไว้ว่า
ตั้งใจเขียนให้อุ่น ๆ หน่อยเพื่อเก็บเกี่ยวแฟนสาว ๆ ไว้บ้าง
ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาขยันเข้าไปตอบกระทู้ด้วยถ้อยคำหวานหู ใน
bookcyber.com
วงศ์ทนงบรรยายความเป็น a day ไว้ในบทบรรณาธิการฉบับที่ ๒ ว่า ตั้งใจให้ a day
เป็นนิตยสารที่อ่านสนุก อ่านแล้วได้แง่งามของทัศนะและจินตนาการ
a day
สร้างขึ้นบนเนื้อหาหลัก ๓ ส่วน คือ Idea (ความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ) Somebody
(คนธรรมดา ๆ ที่มีความสามารถ) แล้วก็ Nostalgia (เรื่องราวย้อนอดีตอันอบอุ่น)
แล้วทิ้งท้ายด้วยการประกาศตัวว่า a day เป็น
นิตยสารอัลเทอร์เนทีฟเล่มใหม่ของเมืองไทย
แม้ว่าในความจริง มีนิตยสารที่หมางเมินกับปัญหาและความไม่เป็นธรรมในสังคม
ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่รับใช้ทุนนิยม,บริโภคนิยม,วัตถุนิยมอย่างสุดขั้วกว่า
summer หรือ a day อีกตั้งมากมาย
ยังไม่ต้องพูดถึงนิตยสารแฟชั่นที่เต็มไปด้วยหน้าโฆษณาและยัดเยียดให้คนมุ่งสนใจแ
ต่ความสวยงาม
นิตยสารผู้หญิงหัวนอกที่เน้นเรื่องวิธีจับผู้ชายและสร้างเสน่ห์ให้ตัวเอง
นิตยสารวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเพ้อฝัน นิตยสารท่องเที่ยว
นิตยสารอาชญากรรม นิตยสารเรื่องแปลกพิศดาร ฯลฯ
แต่นิตยสารเหล่านี้ก็ยังไม่น่ากลัวหรืออันตรายเท่านิตยสาร ทางเลือก
ที่ผลิตออกมาจากสมองของผู้ที่มีจิตใจดี มองโลกงดงาม ใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ
น้อย ๆ และนิยมการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจอย่างพวก positive thinking magazine
เพราะอย่างน้อยนิตยสารเหล่านั้นก็พูดถึงเรื่องไร้สาระทั้งหลายอย่างเปิดเผย
ตรงไปตรงมา อีกทั้งสังคมก็พอจะ เท่าทัน ถึงพิษภัยของมันกันบ้างแล้ว เช่น
พอจะมองออกว่านิตยสารพระเครื่องเป็นเรื่องงมงาย, นิตยสารเรื่องแปลกแหกตาคนอ่าน,
การ์ตูนมอมเมาเยาวชน, นิตยสารประเภทภาพอาชญากรรมปลูกฝังความรุนแรง,
นิตยสารแฟชั่นหลอกล่อให้คนซื้อสินค้าและสร้างนิสัยฟุ่มเฟือย ฯลฯ ซึ่งแม้แต่ a
day เองก็ยังเคยประณามสื่อทำนองนี้ไว้ว่า
สื่อส่วนใหญ่ในประเทศนี้มักจะไปให้ความสำคัญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เราจึงมักจะได้เห็นคนที่ทำอะไรห่วยแตก ไร้สาระ เช่น กินอะไรประหลาด ๆ
น่าขยะแขยงหรือมีพฤติกรรมจี้เส้นมาลงหนังสือออกทีวีอยู่เสมอ (คอลัมน์ Think
Positive ; a day, number 2, October 2000.)
สาเหตุที่นิตยสารอย่าง a day และ summer
น่ากลัวกว่าก็เพราะว่ามันบดบังอันตรายของตัวเองไว้อย่างมิดชิดด้วยถ้อยคำและวิธี
คิดที่ดูเหมือนมีสาระและไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
คนกลุ่มนี้ฉลาดพอที่จะย้อมกิเลสหยาบ ๆ ที่ถูกนำเสนอในนิตยสารเล่มอื่นๆ
ให้กลายเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่ละเมียดละไมเสียจนดูเหมือนไม่เป็นกิเลส เช่น
เรียกกิจกรรมการท่องเที่ยวของตนเพื่อเสพธรรมชาติ
เสพน้ำใจผู้คนบนรายทางเสียสวยหรูด้วยคำว่า
การเดินทาง-แสวงหาตัวตน-ค้นหาตัวเอง-ทำตามความใฝ่ฝัน
ทำให้คนไม่คิดจะตั้งคำถามกับการท่องเที่ยวและมองไม่เห็นว่า การท่องเที่ยวนั้น
ที่จริงแล้วก็เป็นแค่การบริโภคอย่างหนึ่งของชนชั้นกลาง
ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศและผู้คนของโลกที่พวกเขาพากันไปเ
หยียบเล่น
และถึงข้อเขียนใน summer และ a day จะมีคำว่า สิ่งใหม่ ๆ, ล้มล้างระบบเก่า,
ขบถ, แหกคอก, แตกต่าง, กล้าคิดกล้าทำอะไรใหม่ ๆ ฯลฯ อยู่เต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้หมายถึงความต้องการเปลี่ยนแปลง/ล้มล้างระบบที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ
ในสังคมของเรา แม้จะไม่เลวร้ายถึงขนาดหยิบมาใช้เพื่อความเท่ห์เฉย ๆ
แต่การขบถ/แหกคอกของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อส่วนรวม
หากแต่เกิดขึ้นเพียงเพราะต้องการทำให้ชีวิตของตนมีสีสัน
หาความสนุกสนานให้กับชีวิตน้อย ๆ ของปัจเจกชนในโลกยุคใหม่
หรือไม่ก็เพียงแค่อยากทำให้ตัวเองแตกต่างพอที่จะกลายเป็นคนโดดเด่น เป็น
somebody ในยุคสมัยที่ใคร ๆ ก็เหมือนกันไปหมดเท่านั้น
สรุปว่าการมองโลกในแง่ดีของพวกเขา แท้ที่จริง คือ
การเลือกรับรู้แต่ด้านที่สวยสดงดงามของสิ่งต่าง ๆ
แล้วปฏิเสธที่จะใคร่ครวญถึงปัญหา-ความขัดแย้งในสังคม
พวกเขามีความเห็นใจให้กับผู้ทุกข์ยากก็จริง
แต่ไม่เคยคิดจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องแก้ปัญหา
ไม่แม้แต่จะมองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนอีกเป็นจำนวนมากต้องเดือดร้อ
น หรือไม่ก็มองความโศกเศร้าของคนเหล่านั้นว่าเป็นความเศร้าที่
งดงาม
นอกจากการปฏิเสธความรับผิดชอบต่อปัญหาสังคมโดยทำเป็นไม่รับรู้ว่าสังคมมีปัญหาแล
้ว นิตยสารแนวนี้--โดยเฉพาะ a day
ยังสวมบทบาททาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของลัทธิทุนนิยม/บริโภคนิยม
ทั้งยังเป็นตัวสืบทอดค่านิยม
และวิถีชีวิตอันฟุ้งเฟ้อของชนชั้นกลางอย่างขยันขันแข็งอีกด้วย
เห็นได้จากข้อเขียนบางประโยคใน a day
ซึ่งจงใจบ่งบอกถึงความเป็นนิตยสารของชนชั้นกลางอย่าง
ประภาสมองถ้วยกาแฟ
ปราบดายกกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้ง
ปราบดาบิบัตเทอร์เค้กส่งเข้าปากคำใหญ่
ฟลอเรนซ์
หยิบช็อคโกแล็ตเค้กกินอย่างเอร็ดอร่อย
แต่นั่นก็ยังไม่น่าหนักใจเท่ากับการที่นิตยสารประเภทนี้ให้ความสำคัญแต่กับความค
ิดสร้างสรรค์ ความเก๋ไก๋ แหวกแนวและขำขัน
โดยไม่ใส่ใจเลยว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์กับใครหรือทำให้สังคมดีขึ้นบ
้างหรือไม่ เป็นต้นว่า summer นำเสนอภาพช้างบนท้องถนนในกรุงเทพฯ
พร้อมกับตีตารางเปรียบเทียบความเหมือน-ต่างระหว่างรถกับช้างอย่างตลกขบขัน--รถยน
ต์กับช้างใช้เบรก ABS เหมือนกัน แต่ของรถยนต์เป็นแอนตี้เบรกซิสเท็ม
ส่วนของช้างเป็นแอนตี้บาทาซิสเท็ม, รถยนต์ขับถ่ายออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์
ในขณะที่ช้างขับถ่ายเป็นปุ๋ยเกษตรชั้นดี สุดท้าย summer สรุปอย่างอารมณ์ดีว่า
หรือว่าช้างที่เคยเป็นสัญลักษณ์อยู่บนธงชาติไทยจะกลายมาเป็นพาหนะที่เหมาะสมกั
บคนรุ่นใหม่ปี ๒๐๐๐ (summer ; issue 2, January 2000.)
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับปัญหาช้างในเมืองที่หลายฝ่ายกำลังระดมสมองเพื่อห
าทางออกกันอยู่
การนำปัญหามาเล่นตลกเช่นนี้ นอกจากจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแล้ว
ยังอาจส่งผลให้ผู้อ่านชินชาหรือไม่จริงจังกับปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายรอบตัว
กระทั่งมองไม่เห็นว่าเรื่องนั้น ๆ เป็นปัญหาอีกด้วย
แต่ที่ร้ายไปกว่าสิ่งที่นิตยสารแนวนี้กระทำกับปัญหาช้างในเมือง
น่าจะเป็นเรื่องของการที่ความคิดสร้างสรรค์และเรื่องเก๋ ๆ
ที่ถูกนำเสนอนั้นล้วนแต่ไปไม้พ้นจาก กระแสหลัก ทั้งสิ้น เช่น การที่ a day
เลือกสัมภาษณ์กลุ่มหนุ่มสาว ๕ คนที่กำลังเป็นดาวรุ่งอยู่ในวงการโฆษณา
ซึ่งแม้ว่าผลงานของเขาและเธอจะโดดเด่นจริง
แต่วงการโฆษณาก็เป็นตัวร้ายที่ยั่วยวนล่อหลอกให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย
บริโภคเกินความจำเป็นอยู่ดี การที่ a day เสนอเรื่องราวของคนกลุ่มนี้
ย่อมแสดงว่าเขาสนับสนุนการทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนควักเงินซื้อสินค้าของพวกนักโฆ
ษณานั่นเอง
Today Special ใน a day
เป็นอีกคอลัมน์หนึ่งที่ประกาศความเป็นสาวกลัทธิบริโภคนิยม
สิ่งของที่เขาหยิบมาแนะนำด้วยเหตุผลที่ว่ามันกำลัง In Trend
นั้นล้วนอยู่ในวัฒนธรรมบริโภคกระแสหลักโดยนิตยสารที่ประกาศตัวว่าเป็น
ทางเลือก อย่าง a day นำเสนอด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเป็น เพลงชุดใหม่ของ Oasis, วิดีโอเกมเรื่อง Final Fantasy IX,
ร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่สยามสแควร์ชั้น ๑, หนังเรื่องใหม่ของจิม แครี่,
ปลาและปลาหมึกแผ่นอบกรอบยี่ห้อเบนโตะและเว็บไซต์บันเทิงของแกรมมี่
ส่วนสุดยอดความคิดสร้างสรรค์ที่เจ้าของคอลัมน์ Think Positive
เลือกนำเสนอก็หนีไม่พ้นโฆษณาซ้อสทาบาสโก้และโฆษณาแมคโดนัลด์ฝีมือเอเจนซี่ไทยซึ่
งได้รับรางวัลในการประกวดโฆษณาที่ฝรั่งเศส,
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุด--เม้าส์ไร้สาย
สุดยอดความคิดสร้างสรรค์อันสุดท้ายได้แก่ แคมเปญล่าสุดของกาแฟสตาร์บัคส์ คือ
สมุดสะสมตราปั๊มเพื่อแลกกาแฟสตาร์คบัคส์ขนาด ๒๐๐ กรัม ฟรี ๑ ถุง
การเสพนิตยสารประเภทนี้จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เพราะพวกเขาได้ทำให้โฆษณาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเนื้อหาอย่างสนิทแนบแน่น
ตลอดเวลาที่อ่านเนื้อหาใน a day
สมองของเราจะบันทึกยี่ห้อสินค้าลงไปโดยไม่รู้ตัว ส่วน summer นั้น
ด้วยความที่เน้นความสวยงามในทุก ๆ หน้า
จึงพิถีพิถันกับการจัดหน้าโฆษณาเสียสวยและกลมกลืนไปกับส่วนอื่น ๆ
ของนิตยสารจนคนไม่รู้ว่าเป็นหน้าโฆษณา กรณีเช่นนี้
ผู้เขียนคิดว่าไม่ต่างจากการที่รัฐวิสาหกิจอย่างปตท.หรือ
กฟผ.แอบแฝงโฆษณาประชาสัมพันธ์องค์กรของตัวเองมาในรูปของเนื้อข่าวของหนังสือพิมพ
์รายวันหรือนิตยสารบางฉบับนั่นเอง
อันตรายประการสุดท้ายของนิตยสารกลุ่มนี้
(ซึ่งเป็นอันตรายที่น่าหวาดกลัวที่สุดสำหรับผู้เขียน) ก็คือ
พวกเขามักจะใช้รสนิยมสาธารณ์ชุดหนึ่งเข้าสยบความคิดเห็นที่แตกต่างและข้อวิพากษ์
วิจารณ์ต่อแนวคิดหรือสิ่งที่พวกเขาทำ กล่าวคือ
ยิ้มรับคำวิจารณ์เหล่านั้นอย่างอ่อนโยน
รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างด้วยเมตตาและจิตใจอันกว้างขวางยิ่งนัก
แล้วพวกเขาก็จะเอ่ยอย่างชื่นชมว่า มันเป็นความเห็นแตกต่างที่
งดงาม
น่าซาบซึ้งใจเสียนี่กระไรที่มีคนติชม เป็นการติชมอันเนื่องมาจากความรัก
ความปราถนาดีต่อกันโดยแท้
กระบวนการอันแยบยลนี้เองที่สยบคำวิพากษ์วิจารณ์ให้เงียบไปในเวลาอันรวดเร็ว--ซึ่
งคงไม่เว้นแม้แต่บทความนี้
อย่างไรก็ตาม อันตราย เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว
ที่ผู้เขียนจะแสดงความไม่เห็นด้วยกับการหลีกหนีปัญหา / ความขัดแย้งในสังคม
แล้วเลือกมองแต่ความน่ารื่นรมย์อย่างที่ summer และ a day ทำ
การปลูกดอกไม้เพื่อแต่งแต้มโลกให้สวยงามไม่ใช่เรื่องเสียหาย
แต่ดอกไม้ไม่อาจเติบโตขึ้นได้จากดินเลว อากาศเป็นพิษ น้ำที่เน่าเสีย
ถ้ารักจะปลูกดอกไม้จริงต้องลงแรงปรับปรุงดินเสียใหม่
รวมทั้งกำจัดต้นเหตุที่ทำให้น้ำและอากาศเสีย เมื่อปัจจัยต่าง ๆ
ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้สะอาดสมบูรณ์แล้วต่างหาก
ดอกไม้จึงจะโตวันโตขึ้นและเบ่งบานอยู่เนิ่นนาน
ผู้เขียนมั่นใจว่า คนปลูกดอกไม้รู้เรื่องนี้ดี แต่พวกเขาจงใจละเลยมัน
เพราะการเปลี่ยนดินเลวให้เป็นดินดีมันเหนื่อยยากกว่านัก หรือเอาเข้าจริง
พวกเขาก็ไม่ได้อยากให้โลกหรือสังคมมันดีขึ้นหรอก
เขาจงใจหล่อเลี้ยงระบบแห่งความไม่เป็นธรรม
และส่งเสริมให้คนวนเวียนอยู่แต่กับการบริโภคอย่างไร้สาระต่อไปด้วยซ้ำ
เพราะถ้าปัญหาสังคมหมดไป จะหาผู้ทุกข์ยากและรอยยิ้มอันหม่นเศร้าที่ไหน
ให้พวกเขาได้แสดงความเห็นอกเห็นใจหรืออ่อนไหวไปกับมัน ?
โดยคุณ :
Mr.Mint - [21:59:00 27 ส.ค. 2544] |