ความคิดเห็นที่ 6
ทรงเป็นปิ่นโมลีจักรีแก้ว ทรงเพริศแพร้วจริยวัตรนิรัตติศัย
ทรงสถิตย์เหนือศรัทธาประชาไทย ทรงครองใจทวยราษฎร์นิรันดร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีพิธีไหว้ครูดนตรีไทย ที่ชมรมดนตรีไทย สโมสรนิสิต จุฬาฯ จัดขึ้น
เรามีโอกาสได้ไปร่วมงานด้วย และ ณ ที่นั้น ไม่เคยนึกฝันเลยว่า จะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯใกล้ชิดขนาดนั้น
ตอนแรกที่นึกไว้ ก็คิดว่าแค่เห็นพระพักตร์แว่บเดียวก็เป็นบุญอย่างสูงแล้ว
เริ่มจาก ความประทับใจแรก.. ก็พอรู้มาอยู่แล้วนะ ว่าสมเด็จพระเทพรัตนฯ ท่านทรงตรงต่อเวลามาก ตามหมายกำหนดการจริงแล้ว จะเสด็จฯถึงหอประชุมจุฬาฯ เก้าโมงเช้า ต่อเมื่อเวลาประมาณแปดโมงสี่สิบห้า ก็เสด็จฯ ถึง เราก็รออยู่บนเวที พระองค์ก็เสด็จฯขึ้นมา ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทรงกราบ...ทรงพระสุหร่าย แล้วก็มาถึงเวลาที่เรารอคอย ก็ถือพานข้าวตอกดอกไม้ คลานเข่าเข้าไปใกล้ พระองค์ก็ทรงหยิบและโปรยไปบนบริเวณพิธี ตอนนั้นเราก็มองขึ้นไป เห็นพระพักตร์ชัดเจน ตอนนั้นคิดว่า นี่ล่ะคือ พระผู้ที่เราเทิดทูนบูชายิ่ง ประทับอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง เสี้ยวนาทีผ่านไป ก็ก้มมองพาน ปรากฏว่าเหลือดอกไม้ไม่กี่กลีบ ก็เลยถอยออกมา ให้อีกคนเข้าไปถวายพวงมาลัย...ต่อจากนั้น ก็ทรงทำพิธีต่อไป เมื่อเสร็จสิ้น ก็ไปประทับนั่งทางด้านขวาของเวที ส่วนที่เรานั่งอยู่คือด้านซ้าย เมื่อผู้กล่าวถวายรายงาน รายงานจบ ก็ถึงเวลาทรงดนตรีร่วมกับวงดนตรีนิสิต และวงดนตรีพี่เก่า ผู้อาวุโส ตามพระราชอัธยาศัย ก็เสด็จฯมาทางด้านซ้าย และเราก็เลยรู้ว่าทรงเตรียมเครื่องดนตรีมาเอง อันแรกที่ทรงก็คือ ซอด้วง ก็บรรเลงกันไป ต่อมาก็ทรงระนาด แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นซออีกครั้ง แล้วเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้น คือ ไฟดับทั้งมหาวิทยาลัย เรานั่งอยู่ก็ตกใจ แต่ก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่า เมื่อพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงอาการอะไรเลย ยังคงทรงดนตรีต่อไป โดยมีเพียงแสงเทียนสองเล่ม ส่งแสงวับแวมอยู่ ทุกคนที่ร่วมเล่นดนตรีด้วย เมื่อเห็นพระองค์ทรงนิ่ง ก็เล่นกันต่อไป ช่วงไฟดับประมาณห้านาทีได้ สักพักไฟก็มา ตอนไฟมานั้น ยิ่งเป็นภาพน่าประทับใจมากจริงๆ และเมื่อเห็นพระราชจริยวัตร ที่งดงาม ไม่ทรงถือพระองค์เลยแม้แต่น้อย ก็ยิ่งปลื้มใจ เห็นได้ชัดเจนจากการที่เวลาทรงเลือกเพลง จะทรงหันมาพูดคุยกับครูดนตรีไทยที่อยู่เบื้องหลัง พร้อมกับทรงพระสรวล ถ้าจะพูดภาษาธรรมดาก็บอกได้เลยว่า รอยยิ้มนั้นแสดงออกถึงความจริงใจอย่างมาก..จากนั้นก็ทรงดนตรีไปเรื่อยๆ จนจบ ก็ได้รับเสียงปรบมือกึกก้อง(คนที่มาร่วมพิธีมีไม่มากนัก) แล้วเมื่อถึงตอนพระราชดำรัส พระองค์รับสั่งว่า "เมื่อกี้สาธิตให้ดูแล้วว่า ดนตรีไทยเล่นได้แม้ไฟดับ..." ทุกคนก็ฮากันใหญ่ เมื่อจบแล้ว ก็เสด็จฯไปเสวยพระกระยาหารกลางวันร่วมกับคณะบุคคลต่างๆ ทางห้องรับรองด้านข้าง เมื่อถึงตอนส่งเสด็จฯ ทุกคนก็มานั่งพับเพียบเรียงกันข้างๆลาดพระบาท ต่อเมื่อใกล้เวลาเสด็จฯกลับ ก็ดูเหมือนกับว่าที่ๆนั่งกันอย่างหลวมๆในตอนแรก ถึงตอนนี้กลับกลายเป็นนั่งเบียดกัน แทบไม่มีที่ให้กราบ ความจริงสิ่งที่ทำได้ก็คือ ให้ใครสักสองสามคนลุกออกไป ที่ก็จะพอดี ปรากฏว่าทุกคน ไม่มีใครเลยที่จะปลีกตัวออกไป ก็นั่งเบียดกันอยู่อย่างนั้น ในที่สุดก็ถึงเวลา เสด็จฯออกมา เราก็กราบโดยพร้อมเพรียง แล้ววันนี้เองที่เราได้รู้ว่า มีประเพณีแบบนี้ด้วย ก็คือการบูมบาก้า ก่อนที่จะเสด็จฯกลับ ความประทับใจปิดท้ายก็คือ พระเทพฯ "ทรงบูม" กับเราด้วย พร้อมพระพักตร์ที่แจ่มใส พอเสียงบูมจบลง ก็ปรบพระหัตถ์ ทุกคนก็ปรบมือตามท่าน ท่านก็หันกลับไปขึ้นรถพระที่นั่ง แล้วก็ทรงพูดคุยกับผู้ส่งเสด็จฯ สักพัก จึงเสด็จฯกลับ...นับว่าวันนี้เป็นอะไรที่ปลื้มปิติจริงๆ นี่เป็นส่วนนึงที่บรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ แต่จริงๆแล้วเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกในวันนั้น ที่จะเก็บอยู่ในใจตลอดไป
รักพระองค์ท่านมากที่สุด
โดยคุณ
:ประชาชนของพระเทพฯ - [15:51:07 2 ธ.ค. 2549] |