ไปนั่งมาแล้ว ร้าน "หาดเจ้าสำราญ" ที่ใครๆเขาพูดกัน
สัปดาห์ก่อน ผมเถลไถลเข้ามาในเวบเฉลียง เห็นกระทู้โฆษณาของพี่เจี๊ยบหลาอยู่ด้านบน
ที่แรกผมก็นึกว่าพี่เจี๊ยบไปลงทุนร่วมหุ้นเปิดร้านอยู่ริมหาดที่ไหนซะอีก ด้วยการมีร้านริมหาดเป็นความฝันหนึ่งของผม ไม่รีรอเลยที่จะคลิกเข้าไปด้วยความตื่นเต้น
ที่ไหนได้ ร้านอยู่แค่ลาดพร้าว 101 นี่เอง นอกจากจะไม่อยู่ริมหาดแล้ว ร้านยังอยู่ตั้งชั้น 2 โน่น
ไม่รอช้า อยู่แค่ลาดพร้าว 101 ผมรีบกดโทรศัพท์หาเฮียพุ~ ที่กำลังดังเป็นพลุแตกอยู่ที่เวบเฉลียงในตอนนี้ทันที
"เฮียครับ ว่างวันไหน เราไปนั่งร้าน 'หาดเจ้าสำราญ' กัน"
"ได้เสมอน้อง ยกเว้นวันนี้ เป็นคำตอบสุดท้าย" แกตอบผมอย่างนี้
เมื่อเฮียพุ~ ไม่ไป ผมก็กดโทรศัพท์หาคนโน้นคนนี้อีก จนปิดท้ายที่คุณพี่ลี้น้อย
"วันนี้พี่ไปไม่ได้น่ะซี ไว้วันหลังนะ" ซึ่งก็เข้าใจว่าเป็นคำตอบสุดท้าย
เป็นอันว่าไม่มีใครไปกับผม แต่ผมหาได้ย่อท้อไม่ เมื่อแหวนเลือกผมแล้ว ผมจะต้องดั้นด้นไปจนถึง "หาดเจ้าสำราญ" ในวันนี้ให้ได้
......
ผมไปถึงที่ร้านประมาณสามทุ่มครับ เลี้ยวเข้าซอยลาดพร้าว 101 ไปโดยประมาณครับ ไม่ไกลมากนัก ให้สังเกตร้าน 7-11 เป็นหลักครับ จากปากซอยมีอยู่ทางซ้ายหนึ่งร้าน ขับรถเข้าไปเรื่อยๆ จนเห็น 7-11 อีกร้านนึงทางด้านขวา ก็หาที่จอดรถได้เลย จอดรถริมถนนนั่นล่ะครับ วันที่ผมไปเป็นวันพฤหัส ที่จอดรถเหลือเฟือ จากนั้นเดินอ้อมเข้าซอยข้างร้านเซเว่นฯ ไปนิดนึงก็เห็นทางขึ้นไปร้านหาดเจ้าสำราญ จุดหมายปลายทางของ "คณะพันธมิตรแห่งแหวน" (ซึ่งมีคนเดียว) แล้ว
พอขึ้นไปชั้นบน ก็มีน้องสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนนึงมาต้อนรับ
"มากี่คนคะพี่ ....คนเดียวหรือคะ....เต็มหมดเลยค่ะพี่....นั่งตรงบาร์น้ำนี้ก็แล้วกันนะค่ะ เดี๋ยวหนูจัดที่ให้ พี่สั่งอะไรมาดื่มก่อนมั๊ยคะ นะคะ..."
ผมมัวแต่ตะลึงความน่ารักของเธอ
"ครับ" ผมตอบไปได้แค่นั้น
แม้วันนี้จะเป็นวันพฤหัส และร้านเพิ่งเปิดมาได้ไม่นาน แต่เท่าที่ผมเห็น คือลูกค้าเต็มร้านอย่างที่น้องเธอว่าจริงๆครับ ดูจากหน้าตาของลูกค้า ก็พอจะเดาได้ว่า คงจะเป็นแฟนเพลงเฉลียงเป็นแน่ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่ใส่ชุดทำงานกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีเกาะอกสายเดี่ยว อย่างที่ผมตั้งใจไว้เลย (อ้าว ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อไร)
ผมเลือกสั่งอาหารเป็น "ผัดขี้เมา" เพียงอย่างเดียวครับ แม้จะหิวมาก แต่สั่งมามาก แล้วไผจะกินกับตู ผมคิดอย่างนั้น ดูจากเมนูแล้ว อาหารร้านนี้ไม่แพงเลยครับ หลักเจ็ดสิบแปดสิบบาทเท่านั้นเอง สนนราคาค่าเครื่องดื่มสีอำพันและส่วนผสมก็ไม่แพงมากนัก รวมทั้งพวกเบียร์ยี่ห้อต่างๆด้วย
ผมเลือกสั่งเบียร์ขวดใหญ่มาหนึ่งขวด กะว่าจะดื่มแก้กระหาย
หลังจากที่ผมไปถึงไม่นาน พี่สุเมธก็ขึ้นไปเล่นกีตาร์ร้องเพลงบนเวที ทั้งคนอื่นและเพลงตัวเอง แต่ไปติดใจที่เพลง "ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน" ทำเอาผมเอ๋อไปเลยครับ
แกบอกว่า ขอเพลงเฉลียงมาก็ได้นะครับ ผมไม่ค่อยอยากร้องเพลงตัวเอง
ซึ่งตอนนั้น ผมได้ที่นั่งแล้ว ที่หน้าเวที ตรงหน้าพี่สุเมธพอดี ผมจึงตะโกนบอกแกไปว่า ขอเพลง "ยังมี" แต่พี่สุเมธบอกว่า เดี๋ยวรอนักร้องวงเฉลียงมาร้องก็แล้วกัน
ซักประเดี๋ยวพี่เจี๊ยบก็มา แต่ก่อนจะขึ้นเวที ผมเห็นแกหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงมาทำความสะอาดร้านครับ ทุกคนนึกภาพเอา ก็น่าจะนึกภาพออกกันทุกคน แล้วพี่เจี๊ยบก็ขึ้นเวที แต่ก่อนร้องเพลง แกออกตัวว่า ใครที่สั่งอาหารไป แล้วยังไม่ได้ ไม่ต้องตกใจครับ ให้สั่งอย่างอื่นที่ได้เร็วๆกินไปก่อน เพราะพ่อครัวมือใหม่ ยังไม่ชิน
ดังเสียงสวรรค์ ผมนั่งมาชั่วโมงกว่า ผัดขี้เมาของผมยังไม่ได้เลย เลยต้องอาศัยไส้กรอก (ซื้อจากเซเว่นฯ ข้างล่างหรือเปล่าหวา) กินรองท้องไปก่อน
แล้วก็ได้ฟังเพลง "ยังมี" จากนักร้องนำวงเฉลียงสมใจ
และจบจากพี่สุเมธ และพี่เจี๊ยบ ก็มีน้องชายพี่สุเมธมาเล่นดนตรีให้ฟังต่อครับ น้องชายพี่สุเมธน่าตาหล่อเอามากๆเทียวครับ แต่อย่าเข้าใจผิด ผมชอบน้องสาวที่ผมเจอคนแรกมากกว่า
......
ผมได้ ผัดขี้เมาเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง และเบียร์แก้กระหายของผมก็เลยจำเป็นต้องเพิ่มเป็นสองขวดครับ
โดยรวมแล้ว ร้านนี้บรรยากาศดีมากครับในหน้าร้อนหรือหน้าหนาว เพราะจะมีลมพัดตลอด หน้าร้อนก็คงคลายร้อนได้ หน้าหนาวก็ทำให้หนาวเหน๊บ ทำให้ต้องพึ่งน้ำสีอำพันมาคลายหนาวได้ แต่หน้าฝนนี่ผมยังนึกไม่ออกว่า ร้านจะยังเปิดให้บริการได้หรือไม่ เพราะฝนคงสาดซัดให้เปียกปอนกันเป็นแน่แท้ และจากที่แวะกลับไปที่ร้านอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ และได้ไปลองชิมอาหารหลายๆอย่างแล้ว ก็เห็นว่าอาหารอร่อยใช้ได้ทีเดียว รวมถึงเมื่อพ่อครัวคุ้น อาหารก็ไม่ได้ช้าเหมือนวันก่อน ห้องน้ำห้องท่าก็สะดวกสบายดี การตกแต่งก็มีรูปถ่ายพี่เจี๊ยบและวงเฉลียงติดอยู่ทั่วไปในร้านเป็นหลัก ใครจะแวะไปลองชิมอาหารหรือชิมบรรยากาศ ผมก็ไม่อายเลยที่จะขอแนะนำร้านนี้เป็นอันดับต้นๆ เลยครับ
......
ผมกดโทรศัพท์หาเฮียพุ~ เมื่อครู่
แกตอบผมมาว่า "ไปกัน" เป็นคำตอบสุดท้ายครับ
แต่เอ แล้วไปเมื่อไรล่ะครับเนี่ย
เอิ๊ก
โดยคุณ :
ผู้ชายสีฟ้า - [18:05:30 22 ธ.ค. 2546] |