กระดานความรู้สึก


อย่าปล่อยให้บอร์ดเหงา เก็บเรื่องเก่า แบ่งกันอ่าน
" นักสะสม "  ศุ บุญเลี้ยง

ตอนที่ยังเป็นเด็ก
แม่ซื้อของเล่นให้ฉัน
รถยนต์ เรือรบ ปืนกล
ฉันชอบสะสมของเล่น
พี่สาวชอบสะสมตุ๊กตา
น้องสาวชอบสะสมหนังยาง
และฉันก็ชอบหนังยาง
เราพี่น้องต้องพนันกัน

ต่อมาเราสะสมแสตมป์
ฉันรู้สึกอิจฉาที่พี่มีแสตมป์มาก
บางทีจึงแอบขโมยของพี่

เมื่อเราเริ่มสะสมภาพสวยๆ
ฉันต้องเสียน้ำตาเวลาที่เราแย่งกัน

ครั้นโตขึ้นฉันเลือกสะสมหนังสือ
ฉันรักหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่
ทะนุถนอมและห่อหุ้มด้วยพลาสติก
เพื่อป้องกันแรงเปิด แรงเบียด หรือน้ำ

เมื่อมีใครมาขอยืมอ่าน
ฉันไม่เคยเต็มใจจะให้
เพราะเกรงว่ามันจะยับจะเก่า
จึงมักปฏิเสธการหยิบยืม

เดี๋ยวนี้ฉันยังคงสะสม
ไม่ใช่ของเล่น
ไม่ใช่หนังยาง
ไม่ใช่รูปภาพ
และไม่ใช่หนังสือ

ฉันยกหนังยางให้น้อง
ฉันเก็บแสตมป์ให้พี่
ฉันเต็มใจให้เพื่อนยืมหนังสือ
และจะไม่ตำหนิที่หนังสือยับ
เพราะความเป็นเพื่อนนั้น
มีค่ามากกว่าหนังสือหลายเท่า

เดี๋ยวนี้ฉันเริ่มสะสม
ในสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพ
และความรัก

ฉันอยากเป็นนักสะสม
เพราะมิตรภาพมีอยู่ให้เก็บเกี่ยว
โดยไม่ต้องไปแย่งฉวยกับผู้ใด
ทั้งยังแบ่งปันให้กับใคร ๆ ได้

และยิ่งแจกจ่ายก็ดูเหมือนจะ
ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

~~~~~ ~~~~~ ~~~~~ ~~~~~
เก็บมาจากนิตยสาร 'เหมือน' รายเดือน
ฉบับที่ ๑ ปีที่ ๑ พ.ศ.๒๕๓๐  หน้า ๔๒ - ๔๓
โดยคุณ : ดับเบิ้ล ด - [18:09:22  21 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 1
น่ารักกันจริ๊งงงๆๆบ้านเนี้ยยย
โดยคุณ :This road is mine - [19:59:18  21 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 2
i like it
โดยคุณ :traveler - [20:22:26  21 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 3
นักสะสม

ครั้งเมื่อฉันยังเด็ก
ฉันชอบสะสมของเล่น
เริ่มต้นจากการเก็บหนังยาง ที่พนันกับเพื่อน ๆ  

พี่กับน้องสาว ชอบสะสมตุ๊กตา
ในขณะที่ฉันชอบปืนกล รถยนต์ และเรือรบ

ต่อมาเริ่มสะสมแสตมป์
เราพี่น้องต้องแย่งกัน
เพื่อจะแข่งให้ได้มากกว่า

ครั้นโตขึ้น ฉันเลือกที่จะสะสมหนังสือ
ฉันรักหนังสือ
จนไม่เต็มใจจะให้ใครยืมอ่าน
เพราะเกรงว่ามันจะยับ จะเก่า

เดี๋ยวนี้...ฉันยังคงสะสม
ไม่ใช่...ของเล่น
ไม่ใช่...แสตมป์
และไม่ใช่...หนังสือ

ฉันยกหนังยางให้น้อง
ฉันยกแสตมป์ให้พี่
ฉันแบ่งหนังสือให้เพื่อน
และฉันเริ่มสะสมในสิ่งที่เรียกว่า มิตรภาพ

ฉันอยากเป็นนักสะสมมิตรภาพ
เพราะมิตรภาพมีให้เก็บเกี่ยว ด้วยการแบ่งปัน
ยิ่งแจกจ่าย ยิ่งแบ่งปัน ก็เหมือนว่ามันจะมีมากขึ้นทุกวัน

~~~~~ ~~~~~ ~~~~~ ~~~~~
เก็บมาจาก 'มีรังไว้ให้รักอุ่น ร้อยกลั่น และกลอนปล่อย'
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๓๗  หน้า ๔๔ - ๔๕
โดยคุณ :เด็กดื้อ (ดับเบิ้ล ด เช่นกัน) - [20:25:18  21 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 4
เราสะสมหนังสือ สะสมแสตมป์ สะสมโปสด์การ์ดแล้วก็สะสมมิตรภาพ แล้วก้เก็บมันไว้เป็นอย่างดี
โดยคุณ :วาสนาดี - [20:26:49  21 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 5
อ่านของคุณดับเบิ้ล ด  แล้วอื่ม แม้จะไม่เคยอ่านในนิตรสาร เหมือน
แต่เนื้อความ ใช่เลย ข้าพเจ้าจำได้
จึงไปหยิบหนังสือ มาพิมพ์ต่อให้
โดยคุณ :เด็กดื้อ - [20:30:40  21 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 6
"แค่มี"
คำร้อง - ศุ บุญเลี้ยง
ทำนอง - ทรงวุฒิ จรูญเรืองฤทธิ์

      ถามเธอเพราะใจเฝ้าคอยเธออยู่  รู้ดีว่าเราอาจมีน้อยไป
หวังเพียงบางทีเผื่อเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันมี
      เก็บ อดออมทำงานไม่รั้งรอ  พ่อก็ไม่รวยสักที
กีฬาเล่นเป็น แต่ไม่ดี กล้าม ฉันไม่ค่อยมี
      สองมือแขนมีแต่ไม่มีกล้าม ทุกยามไกวเปลหากเธอง่วงนอน
แขนวางปลอมตัวต่างเป็นหมอนก่อน เผื่อเธอจะฝันดี
      กับจะมีห่วงใยมาให้เธอ หากเจ็บป่วยเวียนหัว
มีมือ มือคอยแตะตัว อยากให้เธอหายดี
      หัวใจก็มีแค่เพียงดวงหนึ่ง  ถึงน้อยไป ไม่เคยแบ่งใครนะเออ
แม้มันมอมแมมเปรอะไป จะให้เธอ หมดเลยที่ฉันมี


      หลายคนคงเคยได้ยินได้ฟังบทเพลงเพลงนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆเพลง
ที่น่าฟังจากอัลบั้ม "เอกเขนก"  ของกลุ่มตัวโน้ตอารมณ์ดี   ห้าศิลปินดนตรี
วง "เฉลียง"  แต่จะมีใครทราบบ้างว่าก่อนที่จะกลายมาเป็นเพลงเพราะๆซึ้งๆ
ตรึงใจแฟนเพลงนั้น เพลงบทนี้ได้ผ่านการคิดค้นสร้างสรรค์ขึ้นมาได้อย่างไร
ผู้แต่งต้องการสะท้อนความคิดสู่ผู้ฟัง หรือมีแรงบันดาลใจในการแต่งจากสิ่งใด
เพื่อให้เบื้องหลังการทำเพลง เพลงนี้ปรากฎเป็นเบื้องหน้า
เราจึงได้เชื้อเชิญ จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง และพี่จู๊ด-ทรงวุฒิ จรูญเรืองฤทธิ์ มาพูดคุยกัน

      จุ้ยเล่าให้ฟังว่า  "ตอนแรกสุด ในการทำเพลงนี้  เราก็คิดเนื้อเรื่องของมัน
โดยมีความรู้สึกว่าในเทปชุดใหม่ของเฉลียง น่าจะมีเพลงสักเพลงที่แทนความ
รู้สึกจริงใจของผู้ชายที่มีหรือไม่มีก็ไม่รู้ล่ะ แต่จริงใจ   เราคิดถึงความจริงใจใน
แบบของเฉลียงและในแบบของเราด้วย ในแบบของเฉลียงคือเล่นคำนิดหน่อย
คือคำต้องสะกิดใจให้คนคิด  แล้วในส่วนของเราเราอยากได้เพลงแบบคันทรีย์
ง่าย ๆ  ท่วงทำนองง่ายๆ    คุยกับพี่จิกว่าชุดนี้ขอสักเพลงเถอะ   พี่จิกก็ว่าเอาสิ
เราก็เลยคุยกับแกว่าเราอยากได้แบบนี้ ๆ นะ   พี่จิกบอก  เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน
แกจะไปคุยกับพี่จู๊ด  ให้พี่จู๊ดทำเมโลดีย์ให้  พี่จิกหายไปสักพักก็กลับมาพร้อม
กับเมโลดีย์ที่พี่จู๊ดแต่ง  เราฟังปั๊บก็ปิ๊งเลยว่าใช่  ใช่ตามแบบที่เราคิดไว้  ขึ้นมา
ก็มีเสียงกีตาร์นำ มีกีตาร์โซโลสองตัวประสานกันไปมา  มันเป็นเพลงที่ไม่ยาก
จนเกินไป  เรานำทำนองมาฟังแล้วใส่เนื้อร้องแบบที่เราคิดไว้   แต่งนานมาก
เลยเพลงนี้  นานแบบไม่เสร็จสักที   คำบางคำยังติดๆ อยู่ ต้องเว้นไว้  ใช้เวลา
นานเกือบเดือน หลังจากที่ได้ทำนองมา     คืออารมณ์ของเพลงเรารู้อยู่แล้วว่า
ต้องเป็นแบบนี้ ๆ แต่คำที่เราจะเลือกมาใช้นี่สิ บางทีเราใส่ไปแล้วพี่จิกไม่ชอบ
บอกว่าอันนี้ไม่ดีนะให้แก้มาใหม่   บางทีพี่ดี้ก็บอกว่ามันขัด ๆ ไปนิดนึง
บางทีแกก็ช่วยเติมช่วยแก้ให้  พี่จิกก็ช่วย จนวาระสุดท้ายเข้าห้องอัดเสียงกัน
เพลงนี้ก็ไปเสร็จกันที่นั่น"

      ต่อคำถามที่ว่า เพลงนี้จุ้ยแต่งให้ใครเป็นพิเศษหรือเปล่า   คำตอบคือ
"ไม่ได้แต่งให้ใครหรอก มันเป็นเรื่องความรู้สึกรวม ๆ มากกว่า  ถ้ามองว่า
แต่งให้ผู้หญิงก็ไม่ใช่   แต่งให้ผู้ชายมากกว่า   ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีตัวตน
เป็นการเก็บรวบรวมความคิดจากชีวิตของเพื่อน ของตัวเอง และของคนอื่นๆ
ที่ได้เห็นมา   เพลงนี้เป็นเพลงที่อยากจะให้เอาไว้ถามผู้หญิงมากกว่า
คือให้ผู้ชายร้องแล้วให้ผู้หญิงคิดตาม ว่าจริง ๆ แล้ว ต้องการอะไรจากผู้ชาย-
คนหนึ่ง  เขาอยากได้อะไรแน่  คือคนเราถ้ามันมีได้ทุกอย่างก็ดี  แต่ถ้ามัน
มีอยู่เพียงบางอย่าง เขาจะเลือกอะไร"

ถามต่อ
>> 'แค่มี'  มาจากความรู้สึกส่วนไหน  นานมาแล้วหรือเพิ่งมี
"ไม่แน่ใจ..คงปน ๆ กันระหว่างสมองกับหัวใจ..มีมานานแล้ว"

>> เคยให้ 'แค่มี' กับใครบ้าง
"เคยลองให้  แต่เขาไม่แน่ใจว่ามีให้จริงหรือเปล่า เขาเลยไม่เอา"

>> ตอนจุ้ยแต่งเพลงนี้ นึกถึงอะไรก่อน
"นึกถึงคนฟัง"

>> การแต่งเพลงเหมือนกันไหมกับการเขียนหนังสือธรรมดา
"เรารู้สึกว่า ยากกว่าตรงที่ต้องให้ได้ใจความในช่วงเวลาสั้น ๆ  และมีโน้ต
บังคับอยู่  เขียนหนังสือธรรมดา เขียนได้เรื่อยๆ จะจบเมื่อไหร่ สั้น-ยาวได้
แต่งเพลงไม่ได้ ต้องจบให้ได้ในระยะเวลาของโน้ต"

>> ตอนแต่ง คิดไว้หรือเปล่าว่าจะร้องเอง
"ไม่ได้คิด  คิดว่าแต่งให้คนทั่ว ๆ ไปเอาไปร้อง   ร้องเองนี่แค่เป็นตัวแทน
ร้องลงม้วน  แต่จริง ๆ แล้วแต่งให้คนทั่ว ๆ ไปร้อง   อยากให้คนเอาไปร้อง
ไม่ได้คิดว่าเป็นเพลงของตัวเอง  เป็นเพลงของคนที่มีความรู้สึกร่วมทั้งหมด"


      หลังจากคุยกับคนแต่งเนื้อร้องมาแล้ว คราวนี้เราจะหันมาคุยกับคนแต่ง
ทำนองและเรียบเรียงเสียงประสานกันบ้าง
      "เริ่มต้นจิกมาหาผม แล้วบอกว่าอยากได้เพลงคันทรีย์สักเพลง  เขาวาด
ภาพว่าให้เป็นกีตาร์โปร่ง  ผมจึงวางลักษณะของเพลง เริ่มจากวางคอร์ดต่างๆ
ว่าจะเป็นลักษณะไหน ให้เข้ากับการเล่นกีตาร์โปร่ง    ให้มีลักษณะง่าย ๆ
ตอนนั้นผมยังไม่รู้คอนเซ็ปของเพลงเลย    ผมแต่งทำนองจนเสร็จ รวมทั้ง
เรียบเรียงด้วย  แล้วส่งให้จิกไปใส่เนื้อร้อง
      คอร์ดที่ใช้ในเพลงนี้เป็นคอร์ดง่าย ๆ  ขึ้นต้นสองคอร์ดสลับกัน เพลงนี้
ขึ้นด้วยคีย์ C  ผมก็เริ่มขึ้นคอร์ด G และ C สลับกันไป  คือเป็นลักษณะของ
เพลงคันทรีย์ที่มีคอร์ดพื้นๆ ไม่สลับซับซ้อน   เครื่องดนตรีหลักจริง ๆ ของ
เพลงนี้คือกีตาร์โปร่ง   สมมติว่า เราจะตัดเครื่องดนตรีชิ้นอื่นออกจนหมด
เหลือแต่กีตาร์โปร่งก็ยังเล่นได้ ร้องได้  เพลงแต่ละชนิดก็มีทางคอร์ดของมัน
ไม่ว่าบลูส์ พ็อพ หรือคันทรีย์   ในการทำเพลง ผมก็คิดคอร์ดออกมาก่อน
      ในเพลงนี้ พิเศษกว่าเพลงอื่นอยู่นิดหน่อย  คือจะมีจังหวะไม่เหมือนทั่วๆไป   จะมีบางห้องแทรกสองจังหวะบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ  ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้
คือทั่ว ๆ ไปห้องหนึ่งจะมีสี่จังหวะ  จุดสำคัญอยู่ที่ผมวางแนวคอร์ดไว้ก่อน
ให้มันฟังแล้วออกเป็นคันทรีย์ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นฟังแล้วจะเป็นหรือเปล่า
      พอเอาไปใส่เนื้อร้องแล้วก็ดี คำนี่ลงพอดีๆ ตัวโน้ตที่ผมวางไว้ไม่ต้องแก้เลย
ความหมายก็..ฟังหนแรกก็ชอบ   ฟังดูแปลกจากเพลงทั่ว ๆไปออกมาหน่อย
จุ้ยก็ร้องใช้ได้   ที่ให้จุ้ยร้องคงเป็นเพราะตัวเขาเหมาะที่จะร้องเพลงนี้
การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เรียบ ๆ ง่าย ๆ  ไม่ค่อยอะไรเท่าไหร่  อีกอย่างเสียงมันก็
ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่  เสียงเพลงนะฮะ ไม่สูงมาก    ถ้าสูงมากเกี๊ยงร้องจะดีกว่า
จุ้ยนี่ถ้าร้องสูงมากก็ไม่ไหว  ลักษณะนี้จะเหมาะกับจุ้ยมากกว่า"

~~~~~ ~~~~~ ~~~~~ ~~~~~
เก็บมาอีกทีจาก 'เหมือน' เล่มเดิม  "แค่มีของจุ้ย..." หน้า ๓๒ - ๓๕
อ่านเอาเพลินแก้คิดถึงศิลปิน

โดยคุณ :ดัลเบิ้ล ด - [1:27:09  22 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 7
อ่านแล้วอิ่ม...
อิ่มอกอิ่มใจ

แต่อิ่มแล้วอยากอ่านอีก
เอ๊ะ ไหนว่าอิ่มแล้ว

ชอบคุณพี่ๆ ที่หอบอิ่มมาฝาก :)
โดยคุณ :หนังสือ - [1:38:45  22 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 8
ตอนเด็กๆสะสมตุ๊กตากระดาษ ในหน้าหนังสือเล่มอ้วนๆ จนแม่บอกว่าจะต้มให้กินแทนข้าว
โตมาหน่อยสะสมแสตมป์ แล้วก็เอาไปแลกกับพี่
จนตอนนี้อยากจะสะสมเงิน จนเกือบลืมสะสมมิตรภาพ เพราะทำแต่งานจนแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัว เพื่อน
อ่านข้างบนแล้ว คงต้องหันไปสนใจคนรอบๆตัวบ้าง
โดยคุณ :- [7:46:24  22 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 9
เก็บมาฝากกับอีกหนึ่งบทความดีๆ ของพี่จุ้ย
มองโลกใบกลมอย่างอารมณ์ดี กับ ศุ บุญเลี้ยง
บทความจากหนังสือ "แผนที่ความสุข"
"ผมไม่ใช่คนอารมณ์ดีอะไรหรอก เพียงแต่ผมเป็นคนที่คนรู้จักเยอะ มีสื่อนำเสนอบ้าง เมื่อเขานำเสนอจะเห็นผมในกิริยาไม่หลากหลายนัก คือ จะเห็นแค่ตอนผมยิ้มหัวเราะเลยดูเหมือนอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลาซึ่งจริงๆแล้วผมจะบอกว่า ผมเป็นคนอารมณ์ปกติมากกว่า เพียงแต่มุมมองในการมองอะไรหลายๆอย่าง ผมจะไม่พยายามมองแล้วทำให้ตัวเองเกิดทุกข์เท่านั้นเอง"
ศุ บุญเลี้ยง หรือ จุ้ย ชายหนุ่มผู้ได้รับสมญานามว่า ศิลปินอารมณ์ดี ที่หลายคนชมชอบ เปิดบทสนทนาอย่างรื่นรมย์
จุ้ย บอกว่า ทัศนคติที่ดี มีส่วนทำให้ความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อมที่พบเจอในชีวิตประจำวัน เป็นไปในแง่บวกมากขึ้น แต่การเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดี ต้องอาศัย การสั่งสมจากสิ่งรอบข้าง และใช้ระยะเวลาพอสมควร
"คนที่ต้องเติบโตมาท่ามกลางเสียงก่นด่า ต้องกินข้าวเช้าในรถ กินไปฟังพ่อแม่บ่น และสบถกับ สภาพจราจร รอบข้างทุกวัน กับอีกคนที่โตมากับทะเล ได้วิ่งเล่นบนชายหาด เช้า เย็น ฟังพ่อเป่าขลุ่ยตอนกลางคืน ผมเชื่อว่าเด็ก 2 คน นี้ต้องมีทัศนคติในการมองโลกแตกต่างกัน แน่นอน"
เขายังเชื่อว่า คนที่มีทัศนคติไม่ดี หากแม้ได้อยู่ใกล้คนที่มีทัศนคติที่ดีหรืออยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง คนๆนั้น ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกไปในทางที่ดีได้ เพราะมนุษย์น่าจะมีรังสีแห่งการเชื่อมโยงอยู่ระหว่างกัน ขึ้นอยู่กับว่า ของรังสีใครจะแผ่ออกมากลบของอีกคนได้มากกว่ากัน
ท่ามกลางสภาพสังคม สิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความกดดัน ผู้คนรอบข้างแก่งแย่งแข่งขัน ภาวะมลพิษ ความหวาดกลัว จากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ โจรผู้ร้าย โรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนทำให้เกิดความเครียด และเป็นทุกข์ แต่ จุ้ย มองต่างไปว่า ในเหตุการณ์ และสถานการณ์ ที่ว่ามานี้ หลายๆคน ก็อยู่ในสังคมนี้ อย่างมีความสุขได้
จุ้ย มองว่า เราไม่ควรเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นกังวล อยู่คนเดียว จนพาล ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์เพราะเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับทุกคน บางทีเราก็ควบคุมได้ บางทีเราก็ควบคุมไม่ได้ ถ้าเราอยากอยู่อย่างมีความสุข หรือไม่มีทุกข์มากเราต้องคิดถึงปัจจัยที่เราควบคุมได้ก่อน
อย่างเช่น การออกกำลังกายให้แข็งแรงสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองอันนี้เป็นปัจจัยที่เราควบคุมได้ ส่วนเรื่องฝนตก แดดจัดเกินไป อันนี้เราควบคุมไม่ได้เมื่อควบคุมได้กับควบคุมไม่ได้มาเจอกัน อย่างน้อยที่สุด มันก็จะเกิดสมดุลย์ คือ เราตากฝนแต่เราไม่เป็นหวัด อันนี้เป็นหลักการง่ายๆ
จุ้ย บอกด้วยว่า เรื่องการเข้าใจกติกามารยาทของสังคม รวมทั้งการวางเฉย ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้ เช่น การขับรถชนกันบนถนน ถ้าเราเข้าใจว่า รถเยอะ คนเยอะ โอกาสจะชนกันก็มี มิฉะนั้นจะมีบริษัทประกันภัยไปทำไมกัน
"เรื่องของการวางเฉยเหมือนคำพระท่านว่า มีเมตตา กรุณา มุทิตา แล้วต้องมีอุเบกขา เรื่องนี้สำคัญและต้องอาศัยการฝึกพอสมควร รู้ว่าดีใจ รู้ว่าเป็นทุกข์ เสียใจแต่ให้รู้จักระงับ อยาสุดโต่งเกินไปจนควบคุมตัวเองไม่ได้ คือต้องมีสตินั้นเอง เสียใจได้แต่อย่าเสียศูนย์"
ครั้งหนึ่งมีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า พ่อแม่เอาเด็กมาทิ้งบนสะพานลอย จุ้ยบอกว่า หลายคนเป็นทุกข์กับข่าวนี้และพากันรุมด่า พ่อ แม่ของเด็กคนนั้นว่าใจร้าย บางคนก็มาเป็นทุกข์ว่า สังคมนี้เป็นอะไรไปเสียแล้วทำไมจึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
"แต่ถ้ามามองอีกแง่หนึ่งว่า ดีนะที่เขามาทิ้งไว้บนสะพานลอยไม่เอาไปทิ้งในถังขยะ พ่อแม่เด็กอาจจะมีความจำเป็นบางอย่างและคิดว่า การเอาเด็กมาทิ้งไว้บนสะพานลอย จะต้องมีคนมาเห็นและเก็บไปเลี้ยงอย่างแน่นอน ขณะที่หากเอาไปทิ้งถังขยะ เด็กอาจจะถูกมดกัดตายก็ได้ คิดแบบนี้แล้วเราจะรู้สึกดีขึ้น ดีขึ้นใช่มั้ย"เขาถามพลางยิ้ม
แล้วอย่างคนไม่มีงานทำ คนยากจนอดอยากไม่มีจะกิน จะมีความสุขได้อย่างไร
"มีคนบอกเหมือนกันว่า ไม่มีงานทำอดอยาก ไม่มีจะกินก็มีความสุขได้ ซึ่งผมไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะบางเรื่องมันไม่ใช่ว่าจะถูกต้องทั้งหมดเสมอไป ขึ้นอยู่กับจังหวะ การที่เราไม่มีเงิน แต่สุขใจได้ อาจเป็นเพราะเรารู้อยู่ว่า มีญาติพี่น้อง มีเพื่อนฝูง เดินไปหาใครเขาก็เรียกให้กินข้าว เป็นแบบนี้มากกว่า"
คนไร้โอกาสจะอยู่อย่างมีความสุขได้หรือเปล่า
จุ้ย เปิดยิ้มแล้วบอกว่า ต้องดูว่า ตอนที่คนๆนั้นยังมีโอกาสอยู่ เขาเคยให้โอกาสคนอื่นบ้างไหม หรือว่าเขาให้โอกาสตัวเองมากพอหรือยัง
"ผมยังไม่เคยเห็นคนมุมานะแล้วไม่ประสบความสำเร็จเลย เรื่องนี้ผมมองว่าหลายๆคนมักตัดโอกาสตัวเอง มากกว่า เช่น มีเวลาว่างอยู่ 2 ชั่วโมง ให้เลือกไปเรียนพิมพ์ดีด กับไปกินเหล้า จะเลือกอะไร บางคนบอกว่า ไม่มีเงินซื้อหนังสือมาอ่าน จึงเลือกที่จะเดินเล่นในห้าง
ขณะที่บางคนเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุด เพราะไม่มีเงินซื้อหนังสือ บางคนอยากทำหนังสือ อยากเป็นนักเขียน แต่ไม่อ่านหนังสือมาเลยเหล่านี้เป็นเรื่องของการพยายามให้โอกาสกับตัวเอง แล้วไปโทษสิ่งรอบตัวก็เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน"
เมื่อถามว่าระหว่างความพยายาม ที่จะผ่านสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไปสู่ความสำเร็จนั้นมักมีอุปสรรค และเป็นช่วงเวลาที่มีความทุกข์เข้ามารบกวนจิตใจเสมอ จุ้ยตอบไม่อ้อมค้อมว่า ใช่ แต่ไม่ใช่เสมอไปและขอเรียกความทุกข์ส่วนนี้ว่าเป็นบททดสอบ ซึ่งใครที่ผ่านบททดสอบแล้วความสุขย่อมถามหาเสมอ

โดยคุณ :เด็กรักหนังสือ - [9:30:33  22 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 10
เมื่อถามว่าระหว่างความพยายาม ที่จะผ่านสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไปสู่ความสำเร็จนั้นมักมีอุปสรรค และเป็นช่วงเวลาที่มีความทุกข์เข้ามารบกวนจิตใจเสมอ จุ้ยตอบไม่อ้อมค้อมว่า ใช่ แต่ไม่ใช่เสมอไปและขอเรียกความทุกข์ส่วนนี้ว่าเป็นบททดสอบ ซึ่งใครที่ผ่านบททดสอบแล้วความสุขย่อมถามหาเสมอ


^
^
^
ขอบคุณค่ะ พี่จุ้ย
โดยคุณ :This road is mine - [0:40:35  23 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 11
" ..... มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งอยากฆ่าตัวตาย พี่จุ้ยชวนไปกินข้าว แล้วถาม
'ข้าวนี้อร่อยมั้ย  ฝนตกต้องแสงไฟสวยมั้ย'
พี่จุ้ยบอกว่า
'ถ้าอะไร ๆ ก็ไม่ดีสักอย่าง เอาเหอะก็ไปฆ่าตัวตายเหอะ'..... "

ย่นย่อขอคัดมานิดเดียวจากคำให้สัมภาษณ์ของคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์
ในนิตยสาร สานแสงอรุณ ฉ.ปีที่ 9 พ.ศ.2548

ไม่รู้ว่า ตกลงน้องผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจ ไป หรือ อยู่
อยากบอกว่ายังมีบางคนแม้ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย
แต่ก็ไม่เคยเห็นความหมายของการมีชีวิตอยู่
เพียงคำพูดเล็กๆที่บังเอิญอ่านเจอในวันนั้น ทำให้อารมณ์สบายขึ้นจนถึงวันนี้
อยากโขกหัวขอบคุณสักเก้าสิบครั้ง...แต่กลัวเจ็บ
โดยคุณ :เดียวดาย - [10:06:27  23 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 12
เคยมีคนร้องเพลงนี้จีบเราด้วยแหละ  ( สมัยเป็นสาว ๆ  )
โดยคุณ :วาสนาดี - [16:18:58  23 เม.ย. 2552]

ความคิดเห็นที่ 13
อยากขอบคุณพี่จุ้ย กับข้อคิดดีๆ
เเละขอขอบคุณพี่ๆทุกคนในเว็บนี้ ที่ขยันเเบ่งปันเรื่องราวให้ได้อ่านกัน

จริงๆนะ
โดยคุณ :This road is mine - [23:24:29  1 พ.ค. 2552]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....