ความคิดเห็นที่ 5
ผมมาลองคิดเล่นๆกับคำถามที่เกิดขึ้นจากการเนื้อเพลงทั้งสอง
กับ What will be, will be.
คำถามที่เด็กถามแม่ของตน ๆลๆ เป็นคำถามชนิดใด
โตขึ้นเป็นอะไร สิ่งไหนจะเกิดหรือไม่ ซึ่งคำถามทั้งหมดเกิดจากการคาดการณ์และเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต นั้นคืออนาคตจะเกิดอะไร การตั้งคำถามอย่างนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการวิเคราะห์และการคาดการณ์แต่อย่างใด เพียงแต่ใคร่รู้เรื่องของอนาคต เหมือนการหาหมอดู
คำตอบในเพลงมีว่า อะไรจะเกิด ก็จะเกิด เพราะ อนาคตไม่ได้เป็นของพวกเรา มันน่าคิดนะครับว่าถ้าอนาคตไม่ได้เป็นของเราแล้วเป็นของใคร พระเจ้า? การเล่นจักราศีของเทพเจ้า (aion)? มือที่มองไม่เห็นในระบบทุนนิยม? ท่านผู้นำพรรคในระบอบสังคมนิยม? หรือทั้งหมดนั้นเกินเลยกว่าความรู้ของมนุษย์ (ซึ่งนั้นก็อาจเป็นไปได้)
สิ่งที่น่าสนใจขึ้นไปอีกคือ จากเพลงนี้ อะไรคือบทบาทหน้าที่ที่มนุษย์ควรทำ ซึ่งตัวละครที่เด่นชัดในเพลงคือมนุษย์เพศหญิงที่ฉายให้เห็นตอนเด็ก-สาว-สู่การเป็นเมียและแม่ ความคิดที่สะท้อนได้จากเนื้อเพลง-จากตอนเด็กถามแม่-โตขึ้นถามผัว-จนกระทั้งมีลูกหลายคน (children) แล้ว ต้องตอบคำถามลูกด้วยประโยคที่เคยได้รับการขัดเกลาทางสังคมมา หรือภาษาชาวบ้านคือถูกฝึกกรอกหูมา สถานะของสตรีที่สะท้อนในเพลงนี้ช่างดูสิ้นคิดและเป็นฝ่ายรับ passive เสียเหลือเกิน (มันทำให้อยากใคร่ถามต่อว่า แม่ของเธอตอนตอบเธอตอนเป็นเด็ก นั้นก็เป็นอีรอบเดียวกันนี้หรือไม่จริง??) เราอาจคิดได้ถึงความคิดเรื่อง Pavlovian conditioning ที่โต้ตอบกลับอย่างที่ถูกฝึกมาอย่างในแบบการฝึกสุนัข คิดในแง่(ร้าย)นี้เพลงนี้ดูถูกภูมิปัญญาสตรีอยู่ไม่น้อย ตามความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
อันนี้ผมตั้งใจตีความแบบหนอนแหยะๆเลยนะครับ (หวังว่าคงตลกมากกว่าจะเป็นการไม่สุภาพนะครับ ถ้าเป็นกรณีหลังผมต้องขอโทษด้วยครับ) ซึ่งคงเป็นด้านตรงกันข้ามกับแสงสว่างอันงดงามของหิ่งห้อยจากมุมองของพี่ต้วนนะครับ
คราวนี้ดูคำถามและการตอบในเพลงนิทานหิ้งห้อยบ้าง (บอกตามตรงครับว่าผมไม่เคยฟังเพลงนี้ นึกไม่ออกว่าร้องอย่างไร ใช้เปิดเวปดูเนื้อเพลงเอา)
มันเริ่มต้นจาก เด็กน้อยได้ยินเรื่องราว กล่าวขานมานาน มันเป็นเรื่องเล่าที่มีมานาน เจ้าหญิงและเจ้าชายที่ once upon a time แต่ไม่รู้เมื่อไหร่? แน่นอนนี่คือ myth เด็กน้อยจึงไต่ถามความจริง
อยากเห็นจริง (ซึ่งอาจอยากเห็นความฝันจริงๆ หรือเราอาจตีความได้ว่าอยากรู้เห็นจริงว่า myth ดังกล่าวถูกต้องหรือไม่) จึงเอามาใส่ใต้หมอน ถ้านี่ไม่ใช่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ อย่างน้อยมันมีการสงสัย การถามจากผู้รู้ และการปฏิบัติทดลองดูว่าเห็นผลจริงหรือไม่ การคิดทบทวน อันแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ ซึ่งอาจเป็น pre-scientific แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้น ซึ่งเท่านี้เราเห็นความแตกต่างทีเดียวจาก Que sera sera ซึ่งผู้หญิงฝรั่งคนดังกล่าวล้วนขาดคุณลักษณะ เธอคือคนที่ถามและคอยรับฟัง แต่เด็กน้อยไทย(? คงใช่มั้งครับ?) กลับ active สู่การเคลื่อนตัวในการกระทำการค้นหา เป็นโคลัมบัสแห่งการอยากเห็นจริงดังกล่าว โลกของเธอคือการออกค้นก็ว่าได้ครับ
การตอบ ยายตอบกลับแบบปรัชญามากๆ ตกลง จะมองเห็นความจริง
อย่าขังความจริงที่เห็น อย่างขังความงาม ว่าความจริงที่เห็นการปล่อยให้มันเป็นไปในสิ่งที่มันเป็นตามการตีความในด้านบวกแบบพี่ต้วน หรือทว่า โลกนี้มันพร้อมจะเปิดเผยในสิ่งที่ถูกปกปิดโดย myth หรือ มายาคติ (อันเป็นคำแปลที่อ.ปริตตา กออนันตกูลแปลไว้) หากเราไม่ปิดกันสายตาแห่งการมองความจริง อย่างขังความงาม คือประมาณ ความงามที่เห็นคือด้านหนึ่งของเหรียญที่มีด้านน่าเกลียดอยู่ และนั้นคือสิ่งที่เรียกชีวิตที่ทั้งสองด้านล้วนเล่นบทบาทในการมีลมหายใจ เหมือนดังหนอนน้อยคือฐานของความงามในด้านกลับ (ดูเว่อร์ ซะงั้นครับ) เพราะฉนั้นหลานเอ๋ยเปิดตาดูโลกซะ! การยิ้มและสอนของยายแสดงได้ทั้งมุมของความมีภูมิรู้เท่าทันหลานทั้งหมด หรือการเจ้าเล่ห์ พูดผิดครับ ฉลาดในทางเลือกของการตีความที่เธอทิ้งปริศนาให้หลานว่า จะตีแบบหนอนหรือหิ้งห้อยในการดำรงชีวิต
ที่เด็ดขาดคือยาย แน่นอนคงเป็นผู้หญิง (คงไม่ใช่ postmodern family มั้งครับ) และเด็กน้อยอาจเป็นได้ทั้งชายและหญิง (จากเนื้อเพลงเท่านั้นนะครับ มิวสิควิดีโอไม่เกี่ยว) และถ้าเราเลือกตีความเป็นหญิงแล้ว เราจะเห็นได้ว่าทั้งสองเพลงคือความแตกต่างที่ชี้ให้เห็นว่า ทำไมสตรีนิยมจึงต้องเกิดในตะวันตก และในขณะเดียวกัน มันอาจตั้งคำถามได้ว่าสตรีนิยมควรมีในไทยหรือไม่ และอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นได้ในการเปรียบเทียบแบบเล่นๆอย่าจริงจังนะครับระหว่าง Que sera sera กับ เพลงนิทานหิ่งห้อยครับ
ยังคงติดตามอ่านครับพี่ต้วน อ่านเพลินดีครับ
โดม
โดยคุณ
:ปรีดีโดม - [17:52:01 13 ต.ค. 2552] |