ฉัตรชัย ดุริยประณีต
เป็นคนกรุงเทพฯ
เรียนชั้นประถมต้นที่โรงเรียนประสาทวิทยา |
|
ก่อนจะไปจบชั้นมัธยมที่เตรียมอุดมศึกษา
และจบปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เกิดและโตอยู่ในครอบครัวนักดนตรี
จึงคลุกคลีกับดนตรีมาตลอดตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นดนตรีกับเครื่องดนตรีไทยเป็นครั้งแรก
และมีความคิดที่จะทำเพลงของตัวเองมานาน
สมัยเรียนธรรมศาสตร์ เคยพยายามเสนอเพลงไปตามค่ายเพลงต่างๆ
สองสามค่าย
ทำเป็นเดโมไป แต่มันยังไม่ดีพอ
ตรงจุดนั้นมันยังไม่ดีพอ ไม่พร้อมหลายๆ อย่าง
หลังรับปริญญาตรีจากธรรมศาสตร์
ฉัตรชัยก็เข้าทำงานธนาคารไทยพาณิชย์ตามสายงานที่ร่ำเรียนมา และเขียนเพลงเสนอไปยัง
คีตา ค่ายเพลงน้องใหม่ในเวลานั้น จนกลายมาเป็น ทาง ที่ทำให้เขาได้เดินเข้าไปร่วมงานกับเฉลียง
ตอนนั้นผมทำงานที่แบงก์ไทยพาณิชย์
สำนักงานใหญ่ ผมมีความผูกพันกับเสียงเพลงก็จะแต่งเพลงเก็บไว้ ภายหลังนึกกระหยิ่มใจก็ส่งงานไปตามค่ายเพลงต่างๆ
ในสมัยนั้น จนในที่สุดผม ส่งเทปผลงานตัวเองไปให้พี่ญานี ตราโมท ตอนนั้นพี่เขาทำงานที่แบงก์เหมือนกัน
พี่ญานีก็ฝากต่อไปให้พี่ตุ้ม-ผุสชา โทณะวณิก จนสุดท้ายเทปม้วนนั้นก็มาถึงมือพี่จิก
แล้วพี่จิกก็ทิ้งเทปผมไว้ที่ท้ายรถจนเวลาผ่านไปหลายเดือน
อยู่มาวันหนึ่งพี่จิกจะขายรถ
พี่เขาก็รื้อของ ก็ไปเจอเจ้าเทปม้วนนั้นนอนสงบอยู่ที่ท้ายรถ เขาคงสงสัยว่าเทปอะไรเลยเปิดฟังดู...
เออใช้ได้... พี่จิกเลยเรียกผมมาช่วยทำเพลงให้คีตา
เพลงที่ฉัตรชัยเขียนส่งไปนั้น
ได้ปรากฏอยู่ในอัลบั้มงานชุดแรกของพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ซึ่งรวมทั้งเพลง
ตัวสำรอง และ อีกนาน เพลงรัก อกหัก คร่ำครวญ ที่โดนใจตลาดเข้าไปเต็มๆ
ด้วย เมื่อเพลงดังระเบิด ก็ทำเอานักแต่งเพลงหน้าใหม่อย่าง ฉัตรชัย
ดุริยประณีต ขนลุกเมื่อได้ยินคนร้องเพลงของเขาดังสนั่นในคอนเสิร์ตของพงษ์พัฒน์
(เพลง)ที่แต่งมา ในนั้นมันมีที่ไม่ใช่เพลงรักด้วย
ผมแต่งเพลงรักไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย แล้วเขาก็เลือกเอาแต่เพลงรักเพราะว่าตลาดเมืองไทย
มองดูแล้วจะเห็นว่าเพลงรักคนจะรับได้ ง่ายกว่า
เมื่อผลงานเพลงผ่านการพิจารณาจากประภาส
ชลศรานนท์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลเนื้อร้องของบริษัทคีตาฯ ขณะนั้น ฉัตรชัยก็ได้รับคำชวนเข้าทำงานประจำในบริษัทคีตาฯ
ทันที
เขาจึงลาออกจากธนาคารหันมาทำงานเพลงเต็มตัว
นั่งเขียนเพลงให้ศิลปินนักร้องในสังกัด คีตา ได้พักใหญ่ๆ
วันหนึ่งเขาก็ได้รับข่าวดี
ไปเจอพี่จิกที่ห้องอัดศรีสยาม
พี่จิกก็ชวน ว่ามาอยู่เฉลียงไหม เอาไหม ก็ตกลงไป หลังจากวันนั้นพี่จิกก็พาไปรู้จักกับคนโน้นคนนี้
ยังจำได้ วันที่พี่จิกพาไปหาพี่เจี๊ยบครั้งแรก
แกเป็นพิธีกรคอนเสิร์ตเยื่อไม้อยู่ที่โรงละครแห่งชาติ เห็นครั้งแรกกลัวมาก
พี่เจี๊ยบยืนเท้าสะเอวมองหน้า เจอครั้งแรกก็ประชดเลย รู้สึกว่าแกดุจัง
พี่แต๋งเจอตั้งแต่แรกที่เข้าไปอยู่คีตา
รู้สึกว่าแกใจดี ส่วนเกี๊ยงเจอกันที่ห้องอัด แรกๆ ไม่รู้จะทำยังไงกับมันเพราะมันไม่พูดอะไรเลย
ดูเหมือนไม่ไว้ใจใคร
หลังจากนั้นได้ร่วมงานกัน ก็รู้ว่าจริงๆ
แล้วพี่เจี๊ยบใจดีทำเป็นดุไปงั้นเอง ส่วนการทำงานทำเพลงก็ไม่มีปัญหาอะไร
เพราะตอนที่ไปคุยกับพี่จิกก็ทำความเข้าใจกัน เรื่องแนวเพลง เรื่องอะไร
พวกนี้กันแล้ว
ในขณะที่ประภาสบอกเล่าถึงเหตุผลการชวนฉัตรชัยเข้ามาเป็นสมาชิกคนใหม่ของเฉลียงว่า
ถูกชะตาอย่างเดียวเลย ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น
คุยๆ ถูกชะตาก็ชวน ตอนนั้นคิดๆ อยู่ว่าเฉลียงจะออกเทปกันอีก แต่มีแค่
3 คน น้อยๆ ยังไงไม่รู้ ก็คิดจะหาเพิ่มอยู่เหมือนกัน
แล้วฉัตรชัย ดุริยประณีต ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเฉลียง
วงดนตรีที่เขาเคยฟังเพลงผ่านหูมาตั้งแต่สมัยนุ่งขาสั้น
ชุด ปรากฏการณ์ฝน น่ะ
เคยฟังตั้งแต่สมัยมัธยม นานมากแล้ว มันก็แปลกดี รู้สึกว่ามันตลก ชอบเพลง
ใยแมงมุม ที่สุด
หลังจากนั้นก็ฟังนะ เฉลียงชุดหลังๆ
นี่ แต่ผมไม่ได้เป็นแฟนเพลงจริงๆ ถึงขนาดขวนขวายหามาฟังให้ได้
อ่านต่อ...
|