กระดานความรู้สึก


พี่เล็กสมชาย ภราดร เทนนิส โหมโรง (เกี่ยวไรกันด้วยฟะ)
อย่างที่หลายๆคนรู้แล้วว่านอกจากพี่เล็กจะรับงานแสดงภาพยนต์ โดยเฉพาะเรื่องโหมโรงที่ยังฉายอยู่  แกยังรับงานพากย์เทนนิสในรายการไทยแลนด์โอเพ่นครั้งที่ผ่านมาด้วย

กระทู้นี้เขาแซวพี่เล็กกันในห้องเฉลิยไทย@พันทิพย์  แต่ไก่น้อยขอตัดต่อมาไว้ในนี้ละกัน

มาดูกันว่าครูเทียน ณ โหมโรงมาพากย์เทนนิส สำนวนพากย์เขาจะเป็นยังไงกัน :D

- เอ็งมันตีเทนนิสได้หวานจนข้าเคลิ้มไปเลยว่ะ

- ตีให้มันละเมียดหน่อยย......หยอดจากท้ายคอร์ดน่ะมันเสียของ

- ตีให้มันเป็นเทนนิสหน่อย ข้าดูแล้วรำคาญตาหว่ะ

- เอ็นน่ะมันขึงตึงไป เดี๋ยวข้าผ่อนให้ ......

- ผู้บรรยายร่วม : ภราดรแย่แล้วทำไงดี.
คุณสมชาย : ไม่ต้องห่วง ไม่ชนะก็แพ้.

- ขณะที่ ร็อดดิก เสิร์ฟเอซได้อย่างสวยงาม.
คุณสมชาย : หนักแน่นไร้ที่ติ.

- เมื่อต้องบรรยายเกมที่ภราดรมาเจอกับ อังเดร อากัสซี อีกครั้ง.
คุณสมชาย : นักเทนนิสหนุ่มจากขอนแก่นผู้หาญทาบรุ่นกับขุนอัง.

- ดังที่เกล้ากระหม่อมได้ทูลฝ่าบาทไปแล้ว เมื่อใจของนายภราดรพร้อม ฟอร์มจะกลับมาเอง ในเวลานี้ ไม่มีผู้ใดที่จะทัดเทียบกับขุนอังได้ นอกจากนายภราดรผู้นี้

กระทู้อ้างอิง : http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A2709193/A2709193.html
โดยคุณ : ไก่น้อย - [15:06:06  12 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 1
ขอเพิ่มอีกอัน

- กินลูกหยอดเข้าไปเต็มกบาลแล้วพาลเขินเลยครับ
โดยคุณ :ไก่น้อย - [15:25:06  12 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 2
- วันนั้นนะ ภราดรเสิร์ฟหวาน จนผมงี้เคลิ้ม.. (ถ้าผมเป็นทาทา ผมหลงตายห่า)
โดยคุณ :ทีฯ - [23:29:11  12 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 3
ก๊าก นึกถึงหน้า พี่เล็กแล้วก็ขำ
โดยคุณ :ปลายฟ้า - [0:20:40  13 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 4
อันนี้ฮา

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A2711539/A2711539.html
โดยคุณ :ทีฯ - [13:29:49  13 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 5
พี่เล็กน่าร๊ากกกกกกกก
โดยคุณ :แต้ว - [20:24:24  13 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 6
เอิ๊กๆๆๆ.... คิดกันได้ไงเนี่ย
โดยคุณ :เป็ดขาว - [1:09:46  14 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 7
ตลกดีง่ะ ฮ่า ฮ่า ชอบอันนี้ "ตีให้มันละเมียดหน่อยย......หยอดจากท้ายคอร์ดน่ะมันเสียของ"
โดยคุณ :lovebooks - [1:25:13  14 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 8
(เพิ่งจะ) โหมโรง (หลังจากสิบปีผ่านไป)

จาก หนังสือแพรว


    ไม่น่าเชื่อว่าเวลาจะผ่านไปแล้วถึงสิบปี หลังจากที่อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ทำหนังเรื่องแรก “ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด” จะว่าเป็นเพราะหนังไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เด็ดขาด เพราะทำรายได้ไม่เลว และยังได้รับรางวัลอีกพอสมควร โดยเฉพาะรางวัลหนังยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมจากชมรมวิจารณ์บันเทิง

    แต่สิบปีที่ผ่านไป ฝีมือของอิทธิสุนทรได้รับการขัดเกลาให้เฉียบคมยิ่งขึ้น นั่นคือสิ่งที่เราได้เห็นจาก “โหมโรง” หนังเรื่องที่สองของเขา ถ้าการปลีกวิเวกไปอยู่ในแวดวงอื่นกลับมาทำหนังเมื่อพร้อมที่จะทำจริงๆ แล้วทำให้ได้ผลงานที่ดีอย่างนี้ ก็เป็นการสมควรอยู่ แต่ชั่วชีวิตนี้อิทธิสุนทรจะทำหนังได้สักกี่เรื่อง
อย่างที่บอกไว้ในไตเติ้ล “โหมโรง” ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) แต่เนื้อเรื่องและตัวละครแต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด ศรเป็นลูกของครูดนตรีบ้านนอก มีชื่อเสียงโด่งดังด้านระนาดเอก มีวิธีการเล่นเป็นทางเฉพาะของตนเอง เป็นครูดนตรีที่มีผู้นับหน้าถือตาทั่งทั้งประเทศ แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ครูศรก็ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย จนแม้เมื่อก้าวขึ้นมาจนถึงตรงนี้แล้ว ครูศรก็ยังเจอกับอุปสรรคที่คาดไม่ถึงจากนโยบายทางการเมืองอีก

    เนื้อเรื่องเดินควบคู่สลับกันไประหว่างช่วยรัชสมัยของพระพุทธเจ้าหลวงกับสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัชกาลที่ 7 จนถึงยุคเชื่อผู้นำชาติพ้นภัยและสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสมัยรัชกาลที่ 8 อันเป็นบั้นปลายของชีวิตของครูศร ช่วงแรกนั้นเป็นการดิ้นรนของเจ้าศร ลูกครูดนตรีจากอัมพวาที่จะเป็นมือระนาดเอก ถึงจะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ก้าวล่วงได้ไม่ยากนัก พ่อไม่อยากให้ศรเล่นดรตรี เพราะพี่ชายที่เป็นมือระนาดเอกเหมือนกันถูกคู่แข่งลอบทำร้ายจนตาย แต่ในที่สุดก็ต้องใจอ่อนเมื่อเห็นความมุ่งมั่นของลูกชาย และเมื่อฝึกปรือจนเข้าไคลแล้ว ศรก็ได้ไปเป็นมือระนาดเอกในวังของเสด็จพระองค์หนึ่ง ในช่วงนี้ชีวิตของครูศรก็มีแต่ผู้คนนับหน้าถือตา เมื่อเจ้าศรค้นพบแนวทางในการเล่นระนาดของตนเอง ครูศรก็เดี่ยวระนาดคู่กับเปียโนของลูกชาย

    ความผกผันเกิดขึ้นเมื่อศรพบว่าแนวทางของตนนั้นถูกครูดนตรีในวังเสด็จหาว่านอกคอก และปัญหายิ่งหนักขึ้นเมื่อศรรู้ตัวว่าจะต้องประชันฝีมือกับขุนอิน มือระนาดเอกชั้นเซียนที่เคยสร้างความหวาดหวั่นให้ตนเองมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำเอาศรเกือบจะเสียผู้เสียคนไปเลย ในขณะที่ครูศรก็ต้องเผชิญกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และระเบียบกฎเกณฑ์ด้านศิลปะและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในสมัยท่านผู้นำที่ต้องการจะให้ไทยได้เป็นมหาอำนาจด้วยวิธีการที่ดูน่าขันสำหรับคนสมัยนี้ แต่เป็นความทุกข์ยากของคนในสมัยนั้น

    สุดท้ายไคลแม็กซ์ของเรื่องอยู่ที่การดวลระนาดกันระหว่างศรกับขุนอิน และครูศรเล่นระนาดกล่อมใจนายตำรวจผู้นิยมดนตรีฝรั่ง ใครจะคิดว่ามีคนไทยที่หนังที่มีไคลแม็กซ์อย่างนี้ได้เหมือนกัน

    ที่ต้องชมกันเป็นปฐมก็คือความกล้าที่จะนำเรื่องแบบนี้มาทำเป็นหนัง เพราะดูจะไม่ถูกตลาดอย่างแน่นอน จุดขายเรื่องดนตรีไทยโดยเฉพาะระนาดเอกนั้น ไม่น่าจะเป็นจุดแข็งแรงในตลาดหนัง  ไม่ว่าสมัยนี้หรือสมัยไหนไม่ว่าในเมืองไทยหรือต่างประเทศ จะมีก็แต่เฉพาะในแวดวงของคนดูหนังนอกกระแสเท่านั้น ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่โปรเจ็คก์ของพร้อมมิตรร่วมกับฟิล์มหรรษาและกิมมิคฟิล์มของอิทธิสุนทรเอง ก็คงจะไม่ได้สร้างหรอก ต่อมาที่ต้องชมก็คือฝีมือการเขียนบทที่นำเอาเรื่องราวสองยุคสองสมัยมาดำเนินควบคู่กันไปได้อย่างน่าสนใจ สะท้อนภาพซึ่งกันและกันได้ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ โดยยังรักษาโครงหลักของการเดินเรื่องเอาไว้อย่างสมบูรณ์

    เมื่อสักสามสี่ปีก่อน ผมเคยดูละครทีวีของบริษัท เป่าจินจง เรื่อง “ทิพยดุริยางค์” ซึ่งเป็นเรื่องของดนตรีไทยเหมือนกัน เป็นละครทีวีเรื่องเดียวที่ผมติดตามดูตั้งแต่ต้นจนจบ จะขาดหายไปก็เพียงไม่กี่ตอน วันที่ละครตอนสุดท้ายจบลง ผมโทรศัพท์ไปหาแม่ของผู้กำกับ บอกท่านว่า “ผมยังร้องไห้อยู่เลย” แต่สำหรับความนี้ การได้ดูหนังในโรงที่ระบบเสียงสมบูรณ์กว่าทีวีบ้านผมหลายร้อยเท่า คำว่า “ทิพยดุริยางค์” ก็กระจ่างชัด ผมมีความจำเป็นต้องออกจากโรงก่อนจบเครดิตตอนท้ายเรื่อง เพราะผู้ชมคนอื่นๆ เขาออกไปกันหมดแล้ว พนักงานโรงหนังก็มายืนเฝ้าคอยปิดประตูเตรียมสำหรับรอบต่อไป ก็เลยไม่มีโอกาสจะได้รู้ว่าเสียงทิพยดุริยางค์ที่ผมได้ฟังจากหนังนั้นเป็นฝีมือของใคร แต่ก็น่าปลื้มที่เรายังมีดนตรีไทยฝีมือขนาดนี้หลงเหลืออยู่ในประเทศ และก็เชื่อว่าเราคงไม่หมดกันกันแค่รุ่นนี้หรอก ส่วนที่น่าชมก็คือความวิริยสุตสาหะของผู้แสดง ทั้งอนุชิต สพันธ์พงศ์ และอดุลดย์ ดุลยรัตน์ ที่ฝึกฝนจนทำได้ถึงขั้นที่ราวกับว่าเสียงนั้นมาจากฝีมือของตนจริงๆ

    ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้จะมีแต่ดนตรีเพียงอย่างเดียวหรอก ยังมีความตื่นเต้นของภัยสงคราม ความคับขันจากการบีบคั้นทางการเมือง การชิงดีชิงเด่นให้คนดูได้ลุ้นระทึกกันพอสมควร แต่เหนืออื่นใดก็คือความตื่นเต้นทางดนตรี คงไม่มีใครสักกี่คนหรอกที่จะรู้ว่าดนตรีนั้นสามารถจะอ่อนหวาน พลิ้วไหว หรือดุดันจนถึงทำให้บ้าคลั่งและตายได้ ปี่พระอภัยของสุนทรภู่ไม่ใช่เรื่องลมๆ แล้งๆ

    แทบไม่ได้กล่าวอะไรถึงด้านเทคนิคของหนังและฝีมือในการทำหนังเลย แต่ลงถ้าทำให้ซาบซึ้งกับดนตรีได้ขนาดนี้ ฝีมือด้านการทำหนังจะพื้นๆ ได้ยังไงกันครับ

^_________^
โดยคุณ :แต้วววว - [15:20:01  14 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 9
โหวววว เธอสามารถ ขยันเจงๆ






พี่แต้ว พิมพ์นามสกุล โอ ผิด
โดยคุณ :ปลายฟ้า - [1:03:26  15 มี.ค. 2547]

ความคิดเห็นที่ 10
วันก่อนเดินผ่านร้านขายทีวี  เห็นพี่เล็กพากย์เทนนิส  
นึกถึงกระทู้นี้เลย

โดยคุณ :ลี้ฯ - [8:38:40  15 มี.ค. 2547]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....