เรื่องราวบนแผ่นท้อง(ยาวนิดนึงนะ..)
เรื่องราวบนแผ่นท้อง
เช้ามืดวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 เวลา 03.30น. ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ จะว่าพร้อมก็พร้อม จะว่าไม่พร้อมก็ได้ เพราะยังไม่ค่อยได้เตรียมตัวเท่าไหร่ อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าหยิบกระเป๋าที่เตรียมไว้เปิดประตูออกจากห้อง ก็ได้เห็นความชุลมุนที่นอกเหนือจากตัวเรา เห็นว่าที่คุณยายวิ่งวุ่นเข้าห้องโน้น ออกห้องนี้ ปากก็ถามเด็กที่บ้านว่าขาดของอะไรหรือเปล่า ลืมอะไรบ้าง ส่วนว่าที่คุณตาก็ลงไปเล่นกับคุณหมาสุดที่รักรออยู่ที่รถ เมื่อได้เวลา 04.30น. ว่าที่คุณย่า ว่าที่คุณพ่อ พร้อมด้วยว่าที่อื่นๆที่กล่าวถึงแล้วข้างต้นก็ออกจากบ้านกันสักที
มีการบันทึกวีดีโอเทปและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกว่า ขณะนี้นะ ท้องเธอเป็นแบบนี้นะ ยังมีเด็กอยู่ในท้องนะ
เอ๊ะ
ยังไม่ได้มีการพูดถึงสาเหตุของการที่ต้องตื่นตั้งกะเช้ามืดนี้ใช่ไหม ง่ายนิดเดียว ข้าพเจ้ามีนัดกับคุณหมอเพื่อที่จะผ่าท้องเอาน้องออกมาดูโลก Thats it!
โรงพยาบาลที่จะต้องไปทำการผ่าคือ โรงพยาบาลบางกอกเนอสซิ่งโฮม จากบ้าน(ที่รังสิต)ไปถึงโรงพยาบาล
(สถิตอยู่ถนนคอนแวนต์ สีลม) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที นี่ถ้าคลอดแบบธรรมชาติลูกคงออกบนทางด่วน เพราะดันเลือกโรงพยาบาลไกล
แสนไกล สาเหตุก็เพียงว่า ว่าที่คุณแม่เกิดที่โรงพยาบาลนี้เท่านั้นเอง
บ้าไหมท่าน
มาถึงโรงพยาบาลตอน 05.10น. มาปลุกเจ้าหน้าที่ฝ่ายเวชระเบียนที่กำลังหลับอย่างมีความสุข ประวัติไม่ต้องกรอกเพราะได้มีการบอกกันไว้แล้วล่วงหน้า แค่เซ็นต์ชื่อยินยอมผ่าตัดก็ขึ้นห้องพักได้เลย แต่แปลกนะ เค้าไม่ยอมให้เดิน ต้องนั่งรถเข็นทั้งๆที่เราก็เดินได้ เขินชะมัด (มานั่งคิดทีหลังว่าจะเขินไปทำไม ตอนนั้นน่ะ ยังไม่มีคนไข้เลยซักคน มีแต่พวกว่าที่ทั้งหลายเท่านั้นเอง) มาถึงห้องพักก็มีคุณพยาบาลสาวสวยพร้อมผู้ช่วย บอกให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมของโรงพยาบาล และด้วยความรวดเร็วก็มีการตรวจวัดความดัน วัดอุณหภูมิ ฟังเสียงหัวใจเด็กในท้องเพื่อดูว่าปกติอยู่ไหม แม่กับลูกใครตื่นเต้นกว่ากัน แล้วซักพักก็มีการปิดม่านกั้นระหว่างเตียงกับส่วนคนเยี่ยมไข้ คุณพยาบาลคนสวยคนเดิมก็โกนขนหน้าท้องเราจนนวลเนียน แล้วโดยไม่ให้เสียเวลา ก็จัดการสวนอุจาระด้วยน้ำสะอาดประมาณลิตรกว่าๆ ไม่ต้องรอให้ถึงนาที ห้องน้ำในห้องพักก็ได้ถูกใช้เรียบร้อยอย่างเมามัน
นั่งรอนอนรอคุยกันไปเรื่อยๆจนอีก 10 นาทีจะ 7 โมง ก็มีรถเข็นจากห้องผ่าตัดเข้ามารับถึงในห้อง (อย่างนี้จะเรียกว่า ราชรถมาเกยได้หรือเปล่านะ) ขึ้นนอนบนรถเข็นพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้น รถเข็นก็แล่นไปเรื่อยๆตามแรงเข็นของพนักงาน ตามติดด้วยเหล่าว่าที่ทั้งหลายที่ตามมาส่งจนถึงหน้าห้องผ่าตัดซึ่งอยู่ถัดลงมาอีกชั้น เมื่อถึงเขตที่บุคคลภายนอกเข้าไม่ได้ ก็มีการอวยพรกันยกใหญ่ มีการรับช่วงรถเข็นโดยไปรออยู่ที่ห้องพักฟื้นหน้าห้องผ่าตัดย่อย แล้วท้องไส้ก็เริ่มปั่นป่วนอีกหนึ่งรอบ (เพราะความกลัว
มั้ง) ต้องขอคุณพยาบาลห้องผ่าตัดไปเข้าห้องน้ำก่อนพร้อมกับรอว่าที่คุณพ่อไปด้วย (ที่นี่เค้าอนุญาตให้พ่อเด็กเข้าไปรับรู้ด้วย) แต่คงเพราะว่าเค้าไม่อยากให้เสียเวลามากนักหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอออกจากห้องน้ำจึงโดนเข็นเข้าห้องผ่าตัดทันที บรรยากาศในห้องผ่าตัดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เป็นห้องกว้างๆที่มีเตียงสูงๆเล็กๆตั้งอยู่กลางห้อง มีไฟดวงโตๆเหมือนจานบิน 3 ดวงห้อยอยู่บนเพดาน ในห้องขณะนั้นเปิดไฟสว่าง มองเห็นทุกอย่างได้หมด ไม่ได้มีอุปกรณ์ระโยงระยางมากมายเหมือนอย่างในหนัง มีพอแค่จำเป็นเท่านั้น ย้ายลงจากรถเข็นมาอยู่บนเตียงผ่าตัด อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นอีกเท่าตัว แล้วก็มีหมอวิสัญญีมาแนะนำตัว (จำชื่อไม่ได้แล้ว ไม่ได้ฟังหรอกตอนนั้น ใครจะไปฟัง..ตื่นเต้นจะตายอยู่แล้ว) มาถามว่ากลัวไหม ถามด้ายยยยยย
. กลัวสิเธอ ไม่ได้ยินเสียงหัวใจชั้นเต้นเรอะ คุณหมอมาบอกว่า เดี๋ยวจะทำการบล๊อคหลัง เจ็บนี๊ดเดียว แล้วก็จัดการแทงเข็มน้ำเกลือที่หลังมือซ้ายพร้อมกับบอกว่า
บล๊อคหลังก็เจ็บแค่นี้แหละ
.เจ็บนะ เจ็บจริงๆด้วย เราเถียงในใจ คุณสามีก็ยังไม่เข้ามาซักที พลางก็เหลียวไปทางประตูห้องอยู่เรื่อย มีคนอยู่ในห้องเยอะแยะ ซักพักคุณหมอก็บอกให้นอนตะแคงทำตัวงอเหมือนกุ้ง เอ๊ะ..เอาเลยเหรอ สามีชั้นยังไม่เข้ามาเลยนะ ไม่มีกำลังใจนะจะบอกให้ คุณหมอไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น อธิบายการทำงานทุกขั้นตอน เริ่มจากฉีดยาชาที่กลางหลัง รอซักพักก็แทงเข็มที่หนึ่ง เจ็บตึงๆนิดหน่อย อีกซักพักก็บอกว่าจะเดินยาแล้วนะ ห้ามดิ้น แล้วก็จัดการเสียบเข็มเดินยา โอ้
รู้แล้วว่าความรู้สึกของคนโดนตื้บหลังเป็นยังไง ปวดสุดๆ ปวดเหมือนโดนคนหนักสักร้อยกิโลมาเหยียบหลัง แล้วก็ค่อยๆลามไปที่สะโพก เรื่อยไป..เรื่อยไป แต่ปวดแป๊บเดียว แล้วก็กลับมานอนหงาย เสียบท่อปัสสาวะ แล้วก็ค่อยๆชาเหมือนเป็นเหน็บ หนึบๆหนับๆ คุณหมอที่จะทำการผ่าตัดคือคุณหมอวิบูลย์ ศศิวิมลกุล พร้อมคุณหมอผู้ช่วยคือคุณหมอทศพร นามสกุลอะไรไม่รู้ ก็เข้ามาจับมือ (ที่ถูกมัดขึงพืด) ทักทาย บอกว่าไม่ต้องกลัว แป๊บเดียวเท่านั้น ตอนนั้นร่างกายซีกล่างชาไปหมดแล้ว แล้วคุณหมอก็ไปทำอะไรไม่รู้อยู่ตรงท้อง รู้สึกแค่ว่าเหมือนมีใครเอาอะไรมากดๆ ขย่มๆ แล้วคุณสามีก็เข้ามาเสียที ไม่ถึง 10 นาที คุณหมอก็บอกให้คุณสามีเตรียมตัวถ่ายวีดีโอได้ ได้ยินเสียงติ๊ดของเครื่องเล่นวีดีโอ(หมายความว่าเทปของท่านกำลังเดิน) ต่อด้วยเสียงติ๊ดๆๆๆๆๆ(หมายความว่าแบตของท่านกำลังหมด) โอ๊ย..อะไรกัน..เดินกล้องไม่ถึง 5 วินาทีแบตหมดแล้วเหรอ แต่ตกใจได้ไม่นานก็มีความรู้สึกเหมือนตับไตไส้พุงในท้องถูกดึงออกไปหมด แล้วก็มีเสียงที่คิดว่าดังมาจากสวรรค์ ดังแว้ มาทีหนึ่ง (น้ำตาไหลมา 1 หยด) แล้วก็แว้ๆๆๆๆๆดังมาก (สะอึกสะอื้นแล้วตอนนี้) คุณหมอวิสัญญีบอกเวลาคลอด 7 โมง 18 นาที น้ำหนัก 3000 กรัม แล้วเค้าก็เอาลูกไปทำการดูดปากดูดจมูกตรงเตียงด้านข้างที่อยู่ห่างไปประมาณ 4 เมตร เรามองตามด้วยความอยากเห็น หูยังได้ยินเสียงลูกร้องแว้ๆไม่หยุดพร้อมเสียงคร่อกๆของเครื่องดูด มองเห็นลูกรางๆเพราะน้ำตากลบตาหมด อยากให้เค้าอุ้มมาให้ดูใกล้ๆ ปากจึงบอกแต่คำว่า อยากเห็นๆ แล้วก็วูบไป (มารู้ตอนหลังว่า เค้าอุ้มลูกมาให้ดูแล้ว แต่เราโวยวายว่ามองไม่เห็นๆ หมอวิสัญญีเลยฉีดยานอนหลับให้
ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย) ตื่นมาอีกทีเค้ากำลังทำการขนย้ายเราจากเตียงผ่าตัดมาอยู่บนรถเข็น ทุกอย่างเงียบไปหมดแล้ว หมอไปหมดแล้วเหลือแต่พยาบาล ส่วนคุณพ่อคนใหม่ก็ไปอยู่กับลูกที่ห้องเด็กอ่อน นอนพักฟื้นอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดอีก 2 ชั่วโมงถึงได้ขึ้นห้อง แต่ 2 ชั่วโมงนั้นก็ไม่หลับเลย รอแต่ว่าเมื่อไหร่เค้าถึงจะให้เห็นลูก (ทั้งๆที่เห็นไปแล้วแต่ไม่รู้ตัว)
พอ 10 โมงครึ่งก็ได้ขึ้นห้อง 11 โมงก็มีคนเคาะประตูพร้อมกับมีเตียงล้อเลื่อนเล็กๆ ค่อยๆ โผล่เข้ามา มีอะไรซักอย่างที่เหมือนดักแด้ โผล่มาแต่หน้าจิ้มลิ้ม นอนอยู่บนเตียง แล้วคุณพยาบาลก็เข็นรถมาขนาบข้างเตียง ค่อยๆบรรจงอุ้มเด็กคนนั้นมาวางที่ข้างๆตัวเรา
. ได้เห็นเต็มตาซักที นี่นะเหรอลูกของเรา แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีกจนได้ ตลอดเวลา 9 เดือนที่รอคอย สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้เรามีความรู้สึกเต็มจริงๆ
..
โดยคุณ :
แม่น้องเบ็ตตี้ - [23:51:09 26 มี.ค. 2544] |