สี่ชาย...กับสหายพิเศษ
...........................................
...ดึกดื่นคืนนั้น...
ในขณะที่ผมกำลังดูภาพยนตร์อินเดียชั้นดีเรื่อง วิ่งสู้เขา หัวใจเราคือสวรรค์ เรื่องราวของสองพี่น้องกับการตามหารองเท้าหนึ่งคู่ ด้วยความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูเสียนี่กระไร
...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ...
..ติ๊งต่อง.. ติ๊งต่อง...
..ไปหาน้องก้อยกัน...
เสียงนั้นห้วน สั้น กระชับ แต่ก็ได้ใจความดี ผมแค่ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นเสียงของ..เมฆ-พระประแดง เพื่อนสนิทอีกคน
..น้องก้อย...ในทีนี้ ก็คือหญิงสาวรุ่นน้องคนหนึ่ง ที่เป็นขวัญใจของพวกเราตั้งแต่สมัยเรียน ด้วยน้องก้อยเป็นนักร้องประสานเสียงของโรงเรียนสมัยที่ผมเรียนหนังสืออยู่ นอกจากนี้ยังเป็นนักเรียนมารยาทงามประจำโรงเรียนอีกด้วย
..ก้อย-สี่สิบเก้า... คือสมญานามที่พวกเราตั้งให้ (ประมาณจากถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรที่ได้รับ)
ยังไม่ทันที่ผมจะฟังรายละเอียด แต่ผมก็ตอบตกลงเหมือนคนใจง่าย
ไป ไป ที่ไหน เมื่อไหร่ นัดมาเลย..
เมฆ-พระประแดง หัวเราะร่วนชอบใจ ก่อนบอกรายละเอียดเพิ่มเติม ผมฟังไปพยักหน้าหงึกหงึกอย่างสบายอารมณ์
มี.. เป๋อ-อิมแพค กับ..ราน-สะพานห้ามาด้วยแหละ...
เมฆ..เอ่ยชื่อเพื่อนอีกสองคนที่จะไปร่วมขบวนการในครั้งนี้ด้วย ผมถึงกับยิ้มชอบอกชอบใจ พลางนึกอยากให้วันพรุ่งนี้มาถึงโดยเร็ว
งานที่..เมฆ.. พาพวกเราอีกสามชีวิตมาก็คือ งานประกวดการถักโครเชต์ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่เจ็ดสิบ ซึ่ง..น้องก้อย-สี่สิบเก้า.. สาวใจงามในดวงใจของพวกเรา ก็ลงสมัครกับเขาด้วยเหมือนกัน และด้วยสาเหตุนี้เอง พวกผมจึงต้องตามมาเชียร์อย่างออกหน้าออกตา
วันนั้น...ภายในงานชุลมุนพลุกพล่านด้วยผู้เข้าชมอย่างล้นหลาม ด้วยห้องจัดงานข้าง ๆ มีการประกวดตกแต่งตัดขนลูกแมว เอิกเกริกกันทั้งงานทีเดียวเชียว...
พวกเราสี่หนุ่มไปนั่งรอกันตั้งแต่บ่าย แต่น้องก้อยต้องขึ้นเวทีประกวดตอนสามทุ่ม (เป๋อ-อิมแพค มาสารภาพกับพวกเราทีหลังว่าดูเวลาผิดไปนิดเดียวจริงจริง) แต่พวกเราก็ยังไม่รู้สึกว่าไม่นาน ด้วยระหว่างที่รอ ก็คุยกันสารพัดสารพัน ตั้งแต่ความหลังครั้งเก่า วีรกรรมครั้งหลัง โดยในทุกเรื่องมักจะมีชื่อของน้อยก้อยปะปนมาด้วยเสมอ...
ในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ราน- สะพานห้า มีทีท่ากระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด
..พี่ราน ทำท่าเหมือนจะแดนซ์ แถวนี้ไม่มีเธคนาพี่..
เป๋อ-อิมแพค เตือนสติ แต่ก็ทำเอาราน ค้อนขวับ
ป่าว..เนี่ยมีนัดกับเพื่อน ไม่รู้จะไปทันไหม งานทางนี้ก็ยังไม่เริ่มสักที..
รานบ่นกระปอดประแปด แต่ผมก็พยายาม
ให้กำลังใจ โดยการตบที่หัวไหล่ด้านซ้ายเบา ๆ ผลคือรานลงไปกองเกือบถึงพื้น
รอหน่อยน่าเพื่อน เดี๋ยวน้องเขาก็มา..
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ หญิงสาวคนที่ทำให้พวกเราต้องดั้นด้นมาเชียร์ ก็เดินเข้ามาในงานพอดี
พอน้องก้อยเดินผ่านกลุ่มที่พวกเรานั่งอยู่ เสียงอื้ออึงด้วยความปิติที่ไม่อาจเก็บซ่อนอยู่ก็ดังขึ้น แบบฟังไม่ได้ศัพท์
ผมไม่รู้หรอกว่ามีเสียงใครบ้าง แต่เสียงหนึ่งนั้น ผมรู้สึกว่ามันดังอยู่ข้างในใจของผมนั่นเอง !
ภาพของน้องก้อย หญิงสาวที่พิเศษนัก ผุดขึ้นมาในความทรงจำ ถึงมันจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ผมก็ยังมีความรู้สึกว่ามันยังไม่เคยเจือจางแม้แต่น้อย น้องก้อยไม่ใช่คนสวยเลิศเลอ บางคนบอกว่าเธอหน้าหมวยบ้างล่ะ กรามใหญ่บ้างล่ะ ป้านบ้างล่ะ แต่สิ่งนั้นไม่ได้สำคัญสำหรับผมนัก จริง ๆ ผมไม่ได้สนิทหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
...แต่ผมกลับชื่นชมเธออยู่อย่างเงียบ ๆ และเนิ่นนาน...
ตอนน้องก้อยขึ้นไปประกวดบนเวที ผมได้แต่เฝ้ามองด้วยความรู้สึกที่แช่มชื่นในใจ ผลงานการถักโครเชท์ของน้อยก้อยช่างวิจิตรพิศดารเสียนี่กระไร
...ดูสิดู ถักเป็นรูปม้าน้ำด้วย น่ารักจริงจริง..
ผมพึมพำน้ำเสียงชื่นชมอย่างอดไม่ได้ ชั่วขณะหนึ่งผมนึกสนุกอยากร้องเพลงเชียร์น้อง โดยไม่ลืมหันไปชวนเมฆให้ร่วมวงด้วยกัน เราร้องเพลงเชียร์กันอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ด้วยเนื้อเพลงก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ผมเห็นน้องก้อยมองลงมาด้านล่างเวที ทำปากขมุบขมิบ ดูท่าเหมือนอยากร้องเพลงด้วยกับพวกเรา
...เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่ถึงชั่วโมงการประกวดก็เสร็จสิ้น น้องก้อยเดินลงเวทีมาอย่างช้า ๆ
ราน ใช้ความไว พุ่งไปประชิดตัวน้องก้อยเป็นคนแรก โดยมีพวกเราอีกสามคนตามมาติด ๆ (ในขณะที่ผมรั้งท้ายด้วยความขวยเขิน กลัวเธอเคือง เรื่องร้องเพลงเชียร์ไม่คล่อง)
..น้องก้อย จำพวกพี่ได้ไหม..
หญิงสาวหันมามองพวกผมอย่างพินิจพิเคราะห์ ผมกลั้นหายใจสองสามที
ได้สิคะ พี่ราน- สะพานห้า พี่เมฆ -พระประแดง แล้วนี่ก็พี่เป๋อ- อิมแพค คุณเธอตอบเสียงใสมาเป็นชุด แล้วก็หยุดเอาดื้อๆ
ผมพยายามทำหน้าให้เหมือนคนสนิทเธอที่สุด เพื่อเรียกความทรงจำ
คนนี้ คุ้นคุ้น เธอพยายามนึก
พี่แดง-ก้ำกึ่ง ใช่ ๆ ก้อยจำได้
เธอหัวเราะฮ่า ๆ อย่างชอบใจ พลางปรบมือเกรียวกราวอย่างไม่ทันระวังตัว ช่วงนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตุเห็นว่า ผลงานการถักโครเชท์ของเธอนั้น ยอดเยี่ยมจริง ๆ เอ ว่าแต่ทำไมรูปม้าน้ำมันถึงมีงาด้วยล่ะ...
หลังจากนั้น การพูดคุยสารทุกข์สุกดิบก็เกิดขึ้นท่ามกลางผู้ประกวดอีกนับสิบ จริง ๆ เรื่องที่คุยก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรที่แปลกพิศดาร แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าทุกเรื่องที่เราคุยกัน มันเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาก็ไม่รู้...
น้องก้อยยังคงเป็นหญิงสาวคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก อาจจะดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในขณะที่พวกเรานั่งคุยกัน ราน และเมฆ ก็พยักเพยิดกัน ก่อนชวนเธอไปกินข้าวกับพวกเรา
ผมเองก็ประหลาดใจไม่น้อย ที่ หญิงสาวของพวกเราตอบรับอย่างยินดี มิไยที่พวกเราจะกระทุ้งสีข้างราน เตือนว่า ไหนเอ็งว่าต้องไปตามนัดเพื่อนไง
ไม่เป็นไร ..."
ราน-สะพานห้า รีบปฏิเสธพัลวัน
ยังไม่คอนเฟิร์ม เลื่อนได้ เลื่อนได้ อ่ะนะ รานเพื่อนผม
ร้านที่พวกเราไปกินข้าวกัน ก็เป็นร้านใกล้ ๆกับสถานที่จัดงาน ในขณะที่พวกเราเดินเข้าไปในร้าน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเดินไปบนสะพานที่โคลงเคลงไปมา ด้วยไม่แน่ใจนักว่า มันคือเรื่องจริงหรือไม่...
น้องก้อยเดินนำเข้าไปก่อน โดยมีชายหนุ่มสี่คนเดินตามต้อย ๆ มองไกล ๆ ระยะสี่สิบหลาขึ้นไป อาจกำลังนึกว่าเราคือองครักษ์พิทักษ์คุณหนูยังไงยังงั้น...
เรากินข้าวและนั่งคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ค้างคาอยู่ในใจ เช่น ทำไมตอนสมัยเรียนน้องก้อยถึงได้ถ้วยรางวัลประกาศนียบัตรมากมายนัก คุยถึงเรื่องนักร้องประสานเสียงในกลุ่มคนอื่น ๆ และอีกหลายเรื่องที่พวกเราอยากรู้
...เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม เกลื่อนกระจายอยู่รอบๆ โต๊ะอาหารนั้น...
มีตอนหนึ่งเราคุยกันเรื่องชื่อแปลก ๆ ของพวกเรา น้องก้อยถามผมคนแรกว่าทำไมผมถึงได้ชื่อว่า แดง-ก้ำกึ่ง !
ผมอึกอัก จริง ๆ เคยมีคนถามคำถามนี้กับผมอย่างมากมาย ผมก็เฉไฉไปเรื่อย ๆ ในขณะที่น้องก้อยถาม เธอยิ้ม ดวงตาคู่นั้น ส่องประกายมาที่หัวใจของผมพอดี
แหม ไม่มีอะไรหรอก ก็ตั้งไปอย่างนั้นแหละ
ผมหัวเราะ
...แต่ในใจผมกลับคิดไปถึงวันหนึ่งวันนั้น...
วันที่ผมนั่งอยู่ริมหน้าต่างข้างห้องสมุดของโรงเรียน
วันนั้น...ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม้ยืนต้นต้นหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้า ดอกไม้สีแดงบานอยู่เต็มต้น ภาพที่ผมเห็นคือดอกไม้หนึ่งดอก ค่อย ๆ ร่วงหล่น ลงมาอย่างช้า ๆ....
เสียงเพลงประสานของนักร้องประจำโรงเรียน ดังขึ้น ผมจำได้ว่าหนึ่งเสียงนั้น คือเสียงของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าผมในขณะนี้
...ดอกไม้ กับเสียงของใครสักคน...
นับตั้งแต่นั้น ผมจะรู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นต้นไม้สีแดงกึ่ง ๆ ต้นนั้น ที่มักจะทำให้ผมนึกไปถึงเจ้าของเสียง...ที่มีอิทธิพลกับผมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ผมเหลือบดูนาฬิกาบ่อยครั้ง อยากให้อาหารมื้อนั้นของเรา เนิ่นนานออกไป แต่ก็ทำไม่สำเร็จ...ทันทีที่อาหารจานสุดท้ายหมดลง ด้วยผลงานของ..น้องเป๋อ หนุ่มน้อยที่สุดในกลุ่ม...
...ก้อยคงต้องกลับแล้วล่ะ..
น้องก้อยบอกกับพวกเรา ในขณะที่เดินออกจากร้านอย่างช้า ๆ ผมเดินตามเธอมาอย่างเงียบ ๆ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว
...แต่ในใจของผม...
กลับสว่างไสวด้วยคำพูดและรอยยิ้มอุ่นอุ่นของหญิงสาวที่พิเศษที่สุดในค่ำคืนนั้น
ตอนที่พวกเราเดินมาส่งน้องก้อยขึ้นรถ ก่อนจากกัน เป๋อ-อิมแพค ทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
..พี่แดง ผมลืมกล้องไว้ในรถอ่ะ ลืมถ่ายรูปน้องเขาไว้เลย...
"ใช่ ใช่.." เสียงอื้ออึงอีกแล้ว ได้แต่บ่นเสียดาย ๆ กันยกใหญ่
...ถ่ายแล้ว... ผมตอบ พลางใช้มือชี้มาที่ตัวเอง
...อยู่ในนี้ไง...
...............................
น้องก้อยขับรถแล่นจากพวกเราไปแล้ว
สิ่งที่เธอทิ้งเอาไว้ให้เห็นคือ ควันสีขาวที่พุ่งโขมงออกมาจากรถ ผมยกมือโบกไล่ควันไปมา
...เห็นอะไรไหม...
ผมถามเพื่อน ๆ ที่ยืนดูน้องก้อยจนลับตา
เห็นควันรถ เมฆตอบยิ้ม ๆ
แล้วที่มองไม่เห็นล่ะ เมฆถามผมกลับบ้าง
ผมยิ้มบาง ๆ โดยไม่ได้ตอบคำถามนั้น ดวงตามองทอดยาวออกไปที่หนทางข้างหน้า สิ่งที่เจ้าของรถคันนั้นทิ้งไว้และไม่มีใครมองเห็น แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่ามันมีอยู่จริง และคงเป็นสิ่งเดียวสิ่งหนึ่งที่ผมยังคงเก็บมันเอาไว้เรื่อยมา
ระหว่างทางกลับบ้าน ผมเหมือนเดินกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เหมือนมีเงาแห่งความฝันอิงอยู่ข้าง ๆ
...ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมมันพองเหมือนลูกโป่งที่อัดแน่นนับล้าน ๆ ลูก ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอันแสนกว้างใหญ่นั้น
และอาจจะมีลูกโป่งสีแดงกึ่ง ๆ สักลูกหนึ่ง ที่กำลังลอยไปหาหญิงสาวเจ้าของกำลังใจของผม
...ในค่ำคืนอันแสนยาวนานนี้ด้วยเช่นกัน
...........................................
โดยคุณ :
แดง ก้ำกึ่ง - [1:34:09 23 ส.ค. 2544] |