กระดานความรู้สึก


Small but beautiful
ไปเจอมา อ่านแล้วน้ำตารื้นชื่นใจ อยากให้อ่านกันทั่วๆ โดยเฉพาะพี่จิก



Small but beautiful
คอนเสิร์ตไม่ใหญ่แต่ได้ใจคน


ใครที่รู้จักและศรัทธาในผลงานของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ คงพอเข้าใจว่าทำไมฉันและคนคอเดียวกันถึงอยากไปดูคอนเสิร์ตนี้นัก ยิ่งเห็นว่าจัดที่ศูนย์วัฒนธรรมฯ ซึ่งมีระบบเสียงได้มาตรฐาน และขนาดไม่ใหญ่มากจนมองไม่เห็นนักร้องนักแสดงบนเวที ฉันยิ่งไม่ลังเลที่จะทำตัวให้ว่างเพื่อให้มั่นใจว่าฉันจะได้ไปชมแน่ๆ

แรกเริ่มเดิมทีคอนเสิร์ตนี้มีเพียงสองรอบ คือค่ำวันเสาร์และวันอาทิตย์ แต่สงสัยว่าพี่จิกจะประมาทสาวกของตัวเองมากเกินไป ในที่สุดงานนี้จึงต้องเพิ่มรอบค่ำวันศุกร์และบ่ายวันเสาร์รวมทั้งหมดเป็นสี่รอบ ฉันกับเพื่อนเลือกชมรอบค่ำวันอาทิตย์ เพราะเราต่างก็ทำงานที่ศรีราชา จึงวางแผนจะขับรถกลับมาพร้อมกันเสียเลย แต่ดูราวกับว่าเราก็ประมาทพี่จิกไปเหมือนกัน เนื่องจากคอนเสิร์ตนี้ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง

ในบัตรระบุว่าคอนเสิร์ตเริ่ม 19:00 น. แต่ด้วยเหตุใดก็ตาม กว่าจะเปิดประตูให้เข้าก็ 19:30 น. แล้ว พวกเรามองหน้ากันถอดใจเล็กน้อย เพราะทุกนาทีที่การแสดงเริ่มช้า คือทุกนาทีที่เราต้องนอนดึกขึ้นอีก พรุ่งนี้ลางานไม่ได้ จะให้กลับก่อนงานเลิกก็...ฝันไปเถอะ คิดได้ดังนั้นจึงหันไปเพลิดเพลินกับอะไรต่อมิอะไรบนเวทีดีกว่า หึหึ..มีของดีจริงๆ เสียด้วย นั่นไง ออร์เคสตร้าขนาด 50 ชีวิต แค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าเราจะเต็มอิ่มกับอรรถรสทางดนตรีขนาดไหน

คอนเสิร์ตเริ่มประมาณ 19:50 น. เปิดตัวด้วยคำคมๆ ของพี่จิก ซึ่งฉันต้องขออภัยที่สมองน้อยๆ ไม่อาจจดจำข้อความได้ถูกต้องทั้งหมด แต่เนื้อหาโดยรวมมีใจความดังนี้

"คลาสสิคอย่าดูแคลนแจ๊ซ
แจ๊ซอย่าหมิ่นป๊อบ
ป๊อบอย่ารังเกียจลูกทุ่ง
ลูกทุ่งอย่ารังงอนหมอลำ
หมอลำอย่าคิดว่าคลาสสิคสูงส่ง"

ฉันไม่รู้หรอกว่าพี่จิกและทีมงานมีวัตถุประสงค์อะไร ถึงใช้ข้อความนี้มาเปิดตัว แต่ฉันรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นการ ‘break the ice’ ที่ได้ผลสำหรับผู้ชมบางท่านซึ่งคุ้นเคยกับดนตรีสังเคราะห์และโลกของ mp3 สำหรับคนกลุ่มนี้ การได้เห็นออร์เคสตร้า 50 ชิ้นตระหง่านตรงหน้า อาจสร้างความประหลาดใจหรือกริ่งเกรง ขณะเดียวกัน กลุ่มที่ยึดมั่นถือมั่นว่าตนนั้นมีรสนิยมที่สูงส่งกว่าคนอื่น ก็อาจลดทิฐิลงได้ แม้นไม่อาจทำให้ผู้ชมทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่ช่องว่างระหว่างอัตตาแห่งตนคงแคบลงได้บ้าง ฉันคิดเอาเองว่าพี่จิกคงอยากให้พวกเราเปิดหู เปิดตา เปิดใจ เพื่อเรียนรู้และเห็นคุณค่าความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือความคิด แล้วเราจะได้ความสุขความอิ่มใจจากการชมคอนเสิร์ตไปพร้อมๆ กัน

เขียนมาตั้งนานแล้ว เพิ่งมาถึงตอนเปิดตัวเองหรือนี่ สงสัยจะเป็นเพราะความนับถือในความรู้ความสามารถอันล้นเหลือของพี่จิก จึงรู้สึกว่าถ้าจะเขียนถึงเขาทั้งทีก็อยากเขียนให้ดี เลยเรียบเรียงคำพูดนานไปหน่อย เสาร์นี้มีสอบอีกต่างหาก กว่าจะได้เล่าต่อคงเป็นอาทิตย์หน้าแหงๆ ...กรรม.....



.....ความต่อจาก review ที่แล้ว.....

ศิลปินที่มาร่วมตีความและถ่ายทอด ’เพลงแบบประภาส’ นอกจากจะเป็นศิลปินเพื่อนฝูงอย่างเฉลียงแล้ว ยังมีศิลปินรุ่นน้องทั้งเก่าใหม่แต่มากความสามารถอย่าง สามโทน เจนนิเฟอร์ คิ้ม ป้าง นครินทร์ ปาน ธนพร เบน ชลาทิศ บี Crescendo ลูกหว้าและโอ๋จากวง Doobadoo แถมอีกนิดด้วย เจี๊ยบ วรรธนา ซึ่งรับหน้าที่พิธีกร พร้อมแขกรับเชิญพิเศษสุดประทับใจอีกสามท่าน กับ production ที่สร้างสรรค์อย่างบรรจง ในความเห็นของฉัน จึงนับได้ว่านี่เป็นคอนเสิร์ตฝีมือคนไทยที่น่าประทับใจอันดับต้นๆ เลยทีเดียว

คอนเสิร์ตเปิดตัวด้วยเจ๊คิ้มเขย่าเวทีกับเพลงร็อคสุดมันส์ จากวันนั้นถึงวันนี้ (ไม่ได้เขย่าด้วยน้ำหนักตัวเจ๊นะ – –“) เป็นเพลงจากภาพยนตร์เรื่องวัยระเริงที่มี หนุ่ย อำพล เป็นดารานำ ตอนนั้นพี่หนุ่ยยังเอ๊าะอยู่มากและเป็นขวัญใจวัยรุ่นยุคนั้น ทั้งหนังทั้งเพลงจึงดังกระฉ่อนแบบไม่ต้องสนใคร ปิดท้ายเพลงโดยที่เจ๊คิ้มยังไม่ทันได้คุกคามมาก(ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ยังไม่ถึงเวลา ! ) แล้วคุณเจี๊ยบ วรรธนา ก็ออกมาต้อนรับผู้ชมอย่างกึ่งเป็นทางการ แม้จะตกประหม่าจนพูดผิดเพราะตั้งใจ(เกินไป)ว่าจะทำให้ดีที่สุดเนื่องจากเป็นรอบสุดท้าย แต่ความน่ารักของเธอก็ทำให้ผู้ชมยิ้มได้และไม่ติดใจอะไรอีก เธอบอกว่าอีกสามเพลงถัดไปได้ถูกเรียบเรียงดนตรีใหม่หมดเพื่อให้เหมาะกับนักร้องสุด hip ของยุคนี้ นั่นคือเพลง ยังมี ขับร้องโดย เบน ชลาทิศ รักเป็นดั่งต้นไม้ ขับร้องโดย ปาน ธนพร และ รักเธอแต่เธอไม่รู้ ขับร้องโดย บี Crescendo

สำหรับ เบน และ บี นั้น สิ่งที่เป็นเหมือน trademark ของทั้งสองคนก็คือการ improvisation ฉันจึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร หากจะได้ยินศิลปินทั้งสองเอื้อนเอ่ยทำนองที่แตกต่างไปจากต้นฉบับ แต่กับ ปาน ซึ่งผลงานจากค่ายเพลงที่เธอสังกัดมักจะออกแนว pop rock และร้องตามทำนองหลักอย่างเต็มเสียงหรือบางทีถึงกับเค้นออกมา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินปานร้องเพลงโดยใช้เนื้อเสียงบางใสขนาดนี้ ... มันแสนจะลงตัวกับ เพลง รักเป็นดั่งต้นไม้ ที่เรียบเรียงดนตรีเป็น bossa nova แบบเบาๆ สบายๆ ฉันไม่อายเลยที่จะบอกว่าฟังเพลงโปรดเพลงนี้ไปได้ครู่เดียว น้ำตาของฉันก็ไหลออกมา(แบบที่ฝรั่งเรียกกันว่า overwhelm นั่นแหละ) ซึ่งฉันมักจะเป็นอย่างนี้เวลาที่รู้สึกว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

สามเพลงผ่านไป ไวเหมือนโกหก พี่ป้างมาเรียกเสียงกรี๊ดจากขาร็อคในเพลง ฟั่นเฟือน และเพลง ง่ายๆ ดูจากปริมาณการร้องคลอ น่าจะเป็นหลักฐานสนับสนุนได้ดีว่าทั้งสองเพลงนี้เคยฮิตติดลมขนาดไหน

พอเครื่องเริ่มร้อน ก็ได้เวลาปล่อยทีเด็ด แบ่งกันไปเพลงละเล็กเพลงละน้อย เช่น เพลง รุ้งอ้วน ซึ่งขับร้องโดยลูกหว้าและโอ๋ Doobadoo ทีมดนตรีออกแบบให้มี beat ของเพลงหลายแบบทั้งช้าและเร็ว ส่วนทีม graphic ออกแบบได้น่ารักมากทั้งยังสื่อความหมายเข้ากับเพลงได้เป็นอย่างดีด้วย ภาระหนักจึงตกแก่ผู้ชมเพราะไม่รู้ว่าจะเลือกดูน้องลูกหว้าที่สดใสน่ารัก หรือ graphic ฮาๆ ดี สำหรับมุกขำเล็กๆ อีกอันก็คงไม่พ้นมุกเฒ่าชรา ที่จับ ปาน และ พี่แต๋ง มาเข้าคู่กันในเพลง นั่งลงตรงที่เดิม ทั้งสองเป็นศิษย์เก่าครุฯ ดนตรี ของจุฬาฯ ต่างกันนิดเดียว(อันที่จริงก็ไม่นิดละนะ) คือพี่แต๋งรุ่น 2 ส่วนปานนั้น รุ่น 18 และน้องใหม่ปีหนึ่งปีนี้เป็นรุ่นที่ 32 เท่านั้นเอง ไม่ต้องเก่งคณิตศาสตร์ก็น่าจะพอคิดได้ว่าตอนนี้ลุงแต๋งอายุเท่าไร(เปลี่ยน title จากพี่เป็นลุงทันที ฮ่าๆๆ)

ทีเด็ดกระชากใจแบบหนักๆ ดูเหมือนจะเป็น production ของเพลง ต้นชบากับคนตาบอด ทีมงานทำเนียนปิดไฟแล้วให้ผู้ชมหลับตาฟังเพลง อ้างว่าจะได้ in … สิ่งที่ผู้ชมได้ยินในเวลาต่อมา คือ นักร้องหญิงเสียงดีระดับ world class เนื้อเสียงละม้ายผู้ชนะประกวดสยามกลการมาก เทคนิคการร้องและ dynamic ของเสียงก็แจ่มสุดจะบรรยาย ทำเอาฉันนึกไม่ออกเลยว่าควรจะเป็นนักร้องมือรางวัลท่านไหน เมื่อไฟเปิดขึ้นในช่วงกลางเพลงเท่านั้นแหละ เสียงปรบมือดังกึกก้องประหนึ่งศูนย์วัฒนธรรมจะทลาย เพราะบนเวทีคือ น้องตั๊ก อธิศรี จากสมาคมเพื่อคนตาบอด ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งชีวิตนี้เธอคงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพตรงหน้าของเป็นมือนับร้อยนับพันคู่ที่ปรบมือแสดงความชื่นชมอย่างล้นหัวใจ ฉันพยายามปรบมือให้ดังที่สุด พยายามส่งเสียงกรี๊ดเท่าที่เส้นเสียงฉันจะทนได้ แม้เธอไม่ได้เห็น แต่หวังว่าเธอคงได้ยินและรับรู้ว่าพวกเรายกย่องให้เกียรติเธอเพียงใด

รางวัลใหญ่ยังไม่หมดแค่นั้น พอคุณเจี๊ยบ วรรธนา เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งพี่จิกเรียนที่สถาปัตย์ จุฬาฯ ซึ่งนิสิตมักจะค้างคืนในคณะนั้น คุณเจี๊ยบเล่าว่า นิสิตคนอื่นก็เปิดเพลงวัยรุ่นทั้งไทยเทศฟังไปตามประสา แต่พอถึงคราพี่จิกบ้าง พี่จิกกลับเลือกเพลง อาตี๋สักมังกร ของคุณเพลิน พรหมแดน เสียนี่ ว่าแล้วผู้ชมก็ได้เพลินอย่างไร้พรหมแดนกับเพลง อยากมีหมอน version พิเศษ คุณเพลิน พรหมแดน รับบทเป็นคุณหมอ มีลูกคู่อีกคนมาเป็นคนไข้ เสริมทัพด้วยทีม dancer เป็นบุรุษพยาบาล ด้วยเอกลักษณ์การร้องสลับบทพูดอันสนุกสนาน ทำให้ผู้ชมฮาจนหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว

สนุกแบบไทยๆ แล้วก็ลัดฟ้าไปสนุกแบบ Broadway กันต่อกับเพลง นายไข่เจียว ซึ่งขับร้องโดย เบน ชลาทิศ ถ้า Broadway มีหมวกและคทา งานนี้พี่จิกขอแค่กระทะกับตะหลิว คือ ในระหว่างที่เบนร้อง dancer ท่านหนึ่งจะถือกระทะติด microphone พร้อมตะหลิวมาเคาะจังหวะเพิ่มบรรยากาศการเจียวไข่ให้สนุกสนานยิ่งขึ้น ช่วงกลางเพลงจนถึงตอนท้ายยังมีการดวล improvisation ของเบนกับนักเต้น tap dance อีกด้วย

และแล้วก็ถึงคิวของธงชัย ประสงค์สันติ ร้องเพลง ควาย ร่วมกับวงดนตรีมีชัยในการประชันจากรายการคุณพระช่วย เนื้อหาที่พี่จิกแต่ง อธิบายความเป็นควายได้อย่างหมดจดทุกแง่มุม รวมกับภาพประกอบด้านหลังเวทีรูปทุ่งข้าวสีเขียวตัดท้องฟ้าสีฟ้าและปุยเมฆสีขาว ทำให้หิวข้าวขึ้นมาเลย(แค่หิวข้าวนะ ไม่ได้อยากไถนา อย่าเข้าใจผิด ^__^ ) จากนั้นวงสามโทนจึงมารื้อฟื้นความทรงจำของผู้ชม ด้วยเพลงยอดนิยม ขบวนการโป๊ง โป๊ง ชึ่ง สวัสดีปีใหม่ และ เจ้าภาพจงเจริญ ช่วงปล่อยมุกมีล้อเบน กับ บี เรื่อง improvisation ด้วย

ปิดท้ายช่วงแรกก่อน intermission ด้วยเพลง เสือ คราวนี้เจ๊คิ้มมีเวลาคุกคามผู้ชมสมใจอยาก แถมยังจิกกัดผู้ชมที่อายุมากอีกว่าที่ต้อง intermission เพราะรู้ว่าคนกลุ่มนี้จะปวดห้องน้ำจนอั้นไม่ไหว กรวยไตจะอักเสบ เหน็บจะกิน ลิ้นปี่จะจุก เส้นจะกระตุก พาลปวดไปทุกไขข้อ ฯลฯ ..ก็แหม....พี่จิกอยู่ในวงการมานานจน ’ป่านนี้’ แฟนเพลงของพี่จิกก็คงอายุ ‘ปูนนี้’ เหมือนกันละน่า

Intermission 15 นาที

ภาคจบของเพลงแบบประภาส.....

คุณเจี๊ยบ วรรธนา ต้อนรับการกลับมาของผู้ชมด้วยเพลง รู้สึกสบายดี แล้วส่งต่อเวทีให้ เฉลียง รับช่วงด้วยเพลง เก็บใจ เที่ยวละไม อื่นๆ อีกมากมาย และ เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ ซึ่งเพลงหลังนี้เป็นเพลงที่พี่จิกแต่งไว้เมื่อครั้งเฉลียงกลับมาพบกันในคอนเสิร์ต เหตุเกิดที่เฉลียง เมื่อปี พ.ศ.2550 สำหรับวงเฉลียง เรื่องเพลงคงไม่ใช่ปัญหา แต่เท่าที่ได้ยินมาดูเหมือนผู้ชมจะไม่ค่อยปลื้มกับมุกการเมืองในส่วนนี้เท่าไร (ก่อนหน้านี้สามโทนก็เล่นไปแล้ว) เชื่อว่าทีมงานคงต้องได้ยินเสียงวิพากษ์ประเด็นนี้เช่นกัน เรียกได้ว่ามีการบ้านให้กลับไปคิดสำหรับงานครั้งต่อไป ว่างั้นเถอะ

อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังนี้ก็มีสิ่งจรรโลงใจไม่แพ้ครึ่งแรก นิทานหิ่งห้อย อันเป็นที่รักของใครหลายคน ถูกนำเสนอด้วยวิธีการใหม่ นั่นคือการเล่าเรื่องโดยมีออร์เคสตร้าบรรเลงเพลงประกอบ บทหนักของ Narrator ได้ DJ Bobbie มาเป็นเหยื่อ (เอ...ฉันใช้คำถูกหรือเปล่านี่ ? แต่ก็ไม่น่าจะผิดหรอกนะ..อิ..อิ..)

DJ Bobbie เล่านิทานตัวคนเดียวแต่ฟังราวกับว่ามีเด็กอยู่ในนิทานร่วม 4-5 คน ไหนยังจะต้องทำเสียงเป็นคุณยายและเดินเรื่องด้วยเสียงของตัวเองอีก รวมแล้วประมาณ 6-7 เสียง งานนี้ถ้าทำการบ้านมาไม่ดีไม่มีสิทธิ์แก้มือเสียด้วยเพราะเป็นการแสดงสด จัดได้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถไม่น้อยเลย อีกเรื่องที่น่าประทับใจคือ เมื่อเล่ามาถึงตอน 'หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน ส่องแสงระยิบระยับกัน สว่างไสวไปทั้งต้นลำพู ...' graphic หิ่งห้อยที่ทำออกมานั้นดูดีมาก ไม่ fake เหมือนในละครโทรทัศน์บางเรื่อง ทำให้อารมณ์ที่ปูมาเนียนๆ ตั้งแต่ต้นไม่สะดุด เชื่อว่าในท้ายที่สุดผู้ชมน่าจะรู้สึกคล้ายกันว่า '… นอนคืนนั้นคงฝันดี ฝันเห็นดวงดาวมากมาย ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิงฝันแสนสวยงาม'



ผ่านอารมณ์น่ารักสดใสแบบเด็กๆ ไปแล้ว มาถึงอารมณ์ซึ้งๆ แบบผู้ใหญ่กันบ้าง งานนี้พี่ป้างลงทุนใส่สูทเพื่อพี่จิก จะได้เข้ากับเพลง เพราะอะไร นอกจากจะซึ้งแล้ว ยังมีแอบฮา ราวกับว่าเป็นภาพยนตร์แนว romantic comedy เนื่องจากพี่ป้างได้ทีจิกกัดพี่จุ้ยเล็กน้อยถึงตอนที่พี่จุ้ยทำเนื้อเพลงหาย จึงเสียโอกาสในการร้องเพลงเพราะเพลงนี้ให้กับพี่ป้างอย่างน่าเจ็บใจ ..ฮว่ะ..ฮ่าๆๆ ....

คอนเสิร์ตดำเนินมาถึงเพลงในดวงใจของมหาชน ลมหายใจของกันและกัน จากต้นฉบับที่มีเนื้อร้องยาวกว่าหางอึ่งแค่สองคืบ ครั้งนี้ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่และถ่ายทอดโดยกระดูกเบอร์เดียวกันอย่าง น้องลูกหว้า และ เบน โดยวาง theme ให้ทั้งสองเป็นคู่บ่าวสาวและมี โอ๋ Doobadoo เป็นบาทหลวง ความเห็นส่วนตัว แม้เพลงนี้จะถูกปฏิวัติใหม่โดยใช้ beat ของ hip-hop และมีท่อน rap ด้วย ฉันคิดว่าสิ่งนี้ไม่ได้ลดทอนความงดงามของเพลงดั้งเดิม แต่ฉันมองว่ามันคือการต่อยอด เหมือนที่พี่จิกเคยกล่าวไว้ในงานเขียนของว่า เขาอยากรู้อยากเห็นการตีความใหม่ๆ จากนักร้องที่นำเพลงของเขาไปถ่ายทอด

ดูนาฬิกาแล้วก็เดาว่าเวลาแห่งความสุขใกล้จะหมดลงไปทุกที สามเพลงต่อจากนี้ไม่ได้มี production อะไรที่หวือหวาชวนตื่นเต้นเหมือนหลายเพลงที่ผ่านมา แต่ว่า...ถ้าตั้งใจฟังดีๆ คุณจะรู้สึกภูมิใจในฝีมือคนไทย ตั้งแต่การเรียบเรียงดนตรีอย่างดีไม่มีที่ติ (อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของฉัน) นักร้อง และนักดนตรี ที่ช่วยกันถ่ายทอดสิ่งที่ผ่านการสร้างสรรค์จากมันสมองของคนในชาติ ให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เริ่มด้วยเพลง ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน ขนาดรู้มือกันอยู่แล้วว่าเจ๊คิ้มร้องเพลงเป็นสามารถเพียงใด ก็ยังอดทึ่งในน้ำเสียงและเทคนิคอันฉกาจไม่ได้ ควรแล้วที่ถูกจัดในทำเนียบยอดฝีมือ ที่ต้องชื่นชมอีกสองฝ่ายคือ choreographer และ costume designer ซึ่งออกแบบ posture และเสื้อผ้าให้เจ๊คิ้มดูสวยสง่าอย่างที่ฉันไม่เคยพบในคอนเสิร์ตไหน ถ้าคืนนั้นเจ๊คิ้มเป็นไม้ขีดไฟ เธอก็จะเป็นไม้ขีดไฟที่ดอกทานตะวันต้องหันมามองแม้ไม่ต้องจุดตัวเอง

ผู้หญิงอีกคนที่ฉันต้องเทคะแนนให้คือ ปาน ธนพร ซึ่งรับหน้าที่ถ่ายทอดบทเพลง พี่ชายที่แสนดี บอกตามตรงว่าฉันไม่เคยชื่นชมเธอมากเป็นพิเศษมาก่อน อาจเป็นเพราะผลงานปกติที่เธอมีอยู่ ไม่ได้เอื้อต่อการแสดงศักยภาพด้านร้องเพลงอย่างเต็มที่เหมือนงานนี้ แต่พอได้มวยถูกคู่อย่างดนตรีที่เรียบเรียงและบรรเลงได้เต็มความรู้สึก เสียงหวานๆ กับ dynamic อันยอดเยี่ยมของเธอ จึงเหมือนประกายแห่งเพชรที่ส่องเข้าตาอย่างจัง

เพลงสุดท้ายในช่วงนี้คือ อิฐก้อนหนึ่ง ซึ่งขับร้องโดย บี Crescendo ร่วมกับ chorus หลายสิบชีวิต การเรียบเรียงดนตรีที่ยิ่งใหญ่อลังการ ประกอบกับเนื้อหาเข้าใจง่าย ที่กระทบสมองซีกซ้ายขวาและหัวใจที่มีเลือดเนื้อของความเป็นคนไทยทุกอณู ทำให้ขนลุกเกรียว สมแล้วที่เป็นเพลงซึ่งพี่จิกอยากให้คนรุ่นใหม่ได้ฟังที่สุด แม้วัตถุประสงค์แรกของเพลงนี้แต่งเพื่อใช้ประกอบการแสดง ‘รวมมิตรให้มัน’ ของชาวสถาปัตย์จุฬาฯ แต่พี่จิกได้กล่าวไว้ในหนังสือ ‘เพลงเขียนคน ดนตรีเขียนโลก’ ว่า “ผมไม่คิดว่าเพียงแต่ชาวสถาปัตย์หรอกที่คิด ปัญญาชนทุกคนที่ฟังเพลงนี้ ผมว่าถ้าไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป ทุกคนก็ต้องคิด ทั้งเรื่องคุณค่าของตัวเอง ทั้งเรื่องการต่อสู้กับความมักง่ายของตนเองและผู้คน … ทุกคนมีส่วนสร้างบ้านสร้างเมือง ทุกคนเป็นอิฐ เราอยากเป็นอิฐก้อนไหน คำว่าบ้านเมืองมันมีความหมายมากกว่าแค่ตึกรามบ้านช่อง ... เพลงนี้แค่ทำให้คนคนเดียวรู้สึกอย่างนั้น ผมก็ดีใจแล้วว่าปากกาของผมก็ร่วมสร้างเมืองกับเขาด้วย” (ฟังเพลงได้ที่หน้าบ้านค่ะ)

ช่วงท้ายสุดจริงๆ ของคอนเสิร์ต คือช่วง พี่จิกพบประชาชน ซึ่งเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนเพลงได้ไม่แพ้นักร้องสุด hip ในช่วงที่ผ่านมาเลย นอกจากจะกล่าวขอบคุณผู้ชม พี่จิกยังกล่าวขอโทษที่เริ่มการแสดงช้า และขอโทษไปถึงผู้ชมบางท่านซึ่งอาจขัดใจอันเนื่องมาจากเพลงทั้งหลายทั้งปวงที่ตั้งใจมาฟังนั้น ไม่ได้ร้องเล่นตามแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะ นิทานหิ่งห้อย แต่พี่จิกกล่าวว่า เขาอยากสร้างสรรค์สิ่งที่แตกต่างออกไป ฉันเองไม่ได้แปลกใจมากนัก ถ้าความตั้งใจดังกล่าวคือที่มาของความมหัศจรรย์ในค่ำคืนนี้ หากพี่จิกบอกว่าอยากย่ำอยู่กับที่สิ ตัวปลอมแน่ๆ ...

คืนนี้พี่จิกไม่ได้มามือเปล่า มีของฝากที่พี่จิกบอกว่าเขียนแล้วทิ้ง เขียนแล้วทิ้ง อยู่นานสองนาน ราวกับเขียนจดหมายถึงคนรักยังไงยังงั้น แล้วในที่สุดก็ออกมาเป็นเพลง เขียนให้เธอ อันอบอุ่น พี่เกี๊ยง และ พี่จุ้ย จึงดูจะเป็นคู่ที่เหมาะสมในการสื่อความรักนี้ถึง ‘เธอ’

... เพราะเธอนั่นไง คือเหตุผลที่ทำให้ฉันเขียน
เป็นเพราะเธอส่ง ส่งใจมาให้กัน
แทนกระดาษดินสอ ด้วยรักที่คงมั่น
ให้ฉันเขียนเป็นถ้อยคำถึงเธอ ...

ถ้าจะมีคนที่ฉันอยากขอบคุณ คนแรกคงเป็นพี่จิก เจ้าของผลงานเพลงดีๆ ทั้งหมดนี้ ตลอดจนผู้ประพันธ์ทำนอง ผู้เรียบเรียงดนตรี ที่มีส่วนทำให้บทเพลงของพี่จิกมีชีวิต
ทีมงาน Workpoint ที่สร้างสรรค์ทุกอย่างในคอนเสิร์ตได้อย่างน่าประทับใจ รวมทั้งการดึงศักยภาพของศิลปินออกมาแบบไม่ออมมือ (ไม่รวมมุกการเมืองที่ล่อแหลมและทำร้ายหัวใจบางคนมากไปนิด)
นักร้องนักดนตรีที่มาร่วมงานแบบไม่สนใจค่ายใครค่ายมัน
คนสำคัญอีกคน...คุณจักรพัฒน์ เอี่ยมหนุน ผู้สร้างลีลาใหม่ให้เพลงแบบประภาส
และใครสักคน ที่ตัดสินใจเลือกศูนย์วัฒนธรรมฯ เป็นสถานที่แห่งความภาคภูมิใจ แทนที่จะเป็น Impact Arena ... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม

myakira
โดยคุณ : ใบบัว - [18:55:37  30 ก.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 1
ขอบคุณครับ
โดยคุณ :.... - [10:07:25  31 ก.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 2
รู้สึกเหมือนคุณเลย บางเพลงฟังแล้วน้ำตาซึม  
แต่งานนี้ เราลาพักร้อน 1 วันเพื่อไปดูเลย  บอกหัวหน้าว่าจะไปทำธุระสำคัญมาก  พลาดไม่ได้  
ขอบคุณทุกคนที่เกิดในโลกใบนี้  ที่เป็นแฟนเฉลียง และแฟน( คลับ )พี่จิก
ประทับใจไม่รู้ลืม
โดยคุณ :วาสนาดี - [15:36:26  31 ก.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 3
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ เห็นด้วยทุก(ประการ ยกเว้นประเด็นทางการเมือง) ตัดสินใจได้ว่าจะไปดประมาณสามชั่วโมงก่อนคอนเสิร์ตเริ่ม บอกได้เลยว่าเป็นเงินจำนวนหลักพันที่คุ้มค่า และเติมความสุขได้มากที่เคยต้องจ่าย งานนี้รอซื้อดีวีดีเก็บไว้นะคะพี่ๆ
โดยคุณ :พิมละกัน - [18:21:20  2 ส.ค. 2551]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....