ความคิดเห็นที่ 3
บันทึกเกาะกุฎี ระยอง
......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
วันสุดท้ายเมื่อเราตื่นขึ้นมา หลังจากสังสรรค์กันด้วยกาแฟ และโอวัลติน ขนมปังทาแยม และนมข้นหวาน ข้าวต้มที่ใครบางคนทำไว้ (หอมชมัด) บางคนไปตกปลา บางคนไปเล่นน้ำทะเล
เมฆตั้งเค้ามาบอกว่าฝนจะตกแน่ๆ ลมก็พัดมาซะแรงเลยเหมือนจะบอกว่าขึ้นจากน้ำทะเลได้แล้ว
พวกเราขึ้นมาหุงข้าว ทำกับข้าว ต้องเอาเสื่อมาล้อมเตาด้วยลมที่แรง และต้องกางร่มเพื่อไม่ให้น้ำฝนลงกะทะที่ทอดปลา มันเป็นมื้อสุดท้ายก่อนที่เราจะกลับสู่ฝั่ง "เราก็ไม่ได้จะไปตีเมืองจันทร์ซักหน่อย" ใครบางคนเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่รู้ว่าใครอีกบางคนจะทำการปรุงด้วยสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมด แต่ก็มีแต่เพียงรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้ากับเม็ดฝนที่ไหลลงอาบแก้ม
สิ่งที่ได้มาก็คือปลาทอดที่ได้มาจากการตกปลา แกงจืดผักกาดดอง ไข่เจียว มาม่าต้มยำ ฯ แต่ด้วยฝนที่ตกกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา พวกเราทั้ง 8 คนก็ต้องบรรจุ ข้าว กับข้าวต่าง ๆ น้ำและร่างกายเข้าไปเพื่อทานกันในเต้นท์ พร้อมบรรยากาศอันโรแมนติกจากเสียงฟ้าร้องและสายฝนที่โปรยกระหน่ำ
ไม่น่าเชื่อว่ารสชาติอาหารที่ชิมตอนทำไม่ได้เด็ดดวงนัก แต่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเริ่มทานเป็นจริงเป็นจัง แล้วอาหารในจาน ชามและหม้อ หายเกลี้ยงไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน พร้อมเสียงกบเขียดที่ดังขึ้นตอนเราอิ่ม แต่ฟังดี ๆ แล้วไม่ใช่ มันเป็นเสียงเลอจากใครหลาย ๆ คนที่ไม่ยอมแพ้กัน
พอฝนเริ่มซาแล้วก็หายไป พวกเราเริ่มเก็บของและเต้นท์ เพื่อรอเรือมารับ หมูน้ำสองสามตัวเริ่มลอยตัวในน้ำตื้น ๆ ริมหาด ให้คลื่นซัดนวดไขมันที่พุงป่อง ๆ นอนดูฟ้าหลังฝนอย่างอิ่มเอม
เรือมารับแล้ว พวกเราช่วยกันขนของขึ้นเรือและเริ่มเดินทางกลับ พวกเราแยกกันขึ้นเรือลำละ 4 คน ในระหว่างที่เรือคว่ำ บางคนก็เปลี่ยนเรือกันบ้าง แต่ฉันจำได้ว่าฉันตกน้ำ 12 ครั้งมากกว่าใครเลย เพราะมีบางครั้งที่ฉันตกไปคนเดียวก็มีเมื่อฉันได้นั่งที่ท้ายเรือ ลืมบอกไปว่ามันคือเรือกล้วย
พวกเราเข้าถึงฝั่ง อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องแล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯกัน ไม่มีเสียงพูดจาใด ๆ เกิดขึ้นหลังจากที่รถทัวร์ออกจากสถานี จะมีบ้างก็เพียงแต่ใครบางคนแอบกรนเล็กน้อย ซึ่งผิดกลับตอนที่นั่งรถมา ที่คุยกันไม่รู้เหนื่อย พวกเราลืมตากันอีกที อะไรว๊า ถึงกรุงเทพฯ แล้ว ทำไมไวจริงหนอ เสร็จจากการร่ำลา ใครที่กลับทางเดียวกันก็ไปด้วยกัน พวกเราแยกย้ายกันตรงนั้น
ขอบคุณเพื่อน ๆ มาก ๆ เลย ฉันเพียงแต่ยัดเสื้อผ้าใส่เป้ แล้วเอาตัวเองจากหัวหินไปเท่านั้นเอง
.................................................................................................
อีกความสุขหนึ่งในความทรงจำของเสี้ยวชีวิต
โดยคุณ
:อัญญา - [18:29:14 3 เม.ย. 2546] |