กระดานความรู้สึก


ประภาส ฝานมะเฟือง จาก มติชนรายวัน
ประภาส ฝานมะเฟือง  

มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ 29 กันยายน 2545  

เก็บมาฝากจาก www.matichonbook.com ค่ะ เผื่อคนที่ยังไม่ได้อ่าน กับ คนที่ไม่ได้ไปฟังค่ะ


"ผมเขียนหนังสือหรือตอบคำถามหรืออะไรก็ตามหรือแต่งเพลงผมพุ่งไปที่เรื่องแนวความคิดผมเป็นพวกมนุษย์นิยม
เป็นพวกชื่นชมกับกำลังใจและความฝันเฟื่อง"




เป็นบทสัมภาษณ์เจ้าของคอลัมน์ คุยกับประภาส โดยบรรณาธิการ ผู้ก่อตั้งนิตยสาร A DAY และ HAMBERGER; วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บนเวที เนื่องในโอกาสเปิดพ็อกเก็ตบุ๊กใหม่ มะเฟืองรอฝาน ของประภาส ชลศรานนท์ ในงานแฮปปี้บุ๊กเดย์เมื่อต้นเดือนทีผ่านมา ในรูปแบบสนทนาเป็นกันเอง ท่ามกลางผู้ฟังหลายร้อย เก็บบางส่วนมาให้อ่านกัน ใน "อาทิตย์สุขสรรค์" น่าเสียดายหากผู้อ่านอาทิตย์สุขสรรค์จำนวนมากไม่ได้รับรู้ และไม่ได้เข้าร่วมงานวันนั้น

วันนี้เราคุยกันเพื่อต้อนรับหนังสือเล่มใหม่ เรื่องมะเฟืองรอฝาน เมื่อสักครู่เราคุยกันอยู่ข้างๆ พี่จิกบอกว่าสงสัยเหมือนกัน มีคนเข้ามาถาม คำว่าฝานแปลว่าอะไร

ก็รู้สึกแปลกใจ บางทีนั่งๆ อยู่ที่เด็กหน่อยจะถามว่า ชื่อหนังสือนี้มันแปลว่าอะไร ก็ถามเขาว่าไม่เข้าใจคำไหน เขาก็บอกคำว่าฝาน ฝานแปลว่าเฉือนใช่ไหม ก็เพิ่งรู้ว่าคำนี้เป็นคำที่เก่าไปนิดนึง ที่ผมหาคำนี้มาเพราะผมต้องการให้คล้องกับคำว่าเฟือง มะเฟืองรอเฉือนมันไม่เพราะ แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นมะเฟือง เท่าที่ได้คุยบ้าง ทำไมถึงไม่เป็นมะม่วงรอฝานอะไรอย่างนี้ ผมก็เลยบอกว่าที่มา มาจากตัวลูกมะเฟืองที่ ถ้าผ่ากลางปุ๊บมันจะกลายเป็นดาว ซึ่งดาวเป็นสัญลักษณ์ที่รู้กันว่าจะคว้าดาว เราจะทำอะไรให้สมหวัง ผมก็เลยตั้งชื่อนี้ว่า มะเฟืองรอฝาน เพราะผมเอาเรื่องที่เป็นประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นช่วงแรกของเรื่อง ก็เลยตั้งชื่อให้เข้ากับตรงนั้น

ในหน้าปกหลังก็มี อันนี้เป็นรูปมะเฟืองที่ภรรยาฝานให้

มีคนถามว่าฝานได้สวยมาก จริงๆ ฝานไม่ยากเลย ลักษณะของมะเฟือง พอดีมีน้องหญิงเอามาฝาก พอเราฝานตรงปลายก็จะได้ดาวดวงเล็กๆ ฝานไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นรูปดวงใหญ่ขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรเลย

ผมว่าน่าเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่พอฝานออกมาในรูปตัดแล้วเป็นรูปดาว ใช่ไหม

ใครรู้ไหมว่าภาษาฝรั่งเขาว่าอะไร star fruit ใช่ตรงเป๊ะเลย ทำไมไม่มีนัยแฝงอยู่ว่า มะเฟืองมันคือรสฝาด มีความหวาน รสชาติชีวิต อันนั้นก็ไปตีความกัน ผมว่ามันน่าสนใจกว่ามะดันหรืออะไร

ผมเชื่อว่าพี่จิกตั้งชื่อนี้เพื่อให้มันล้อกับเล่มที่แล้วด้วย ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า คือกบเหลาดินสอ

ไม่ได้คิดว่าจะคล้องกับชื่อกบนะครับ เหลาดินสอ มะเฟืองรอฝาน บังเอิญฮะ ไม่ได้ตั้งใจให้คล้องกัน แต่ว่าเป็นลักษณะสไตล์การตั้งชื่อหนังสือของผมตรงนี้เอง ว่าคงจะตั้งเป็นอะไรคล้ายๆ อย่างนี้ ทำให้เดาไม่ออกนิดหน่อยเท่านั้นเอง แล้วก็ผมเติมนิดนึง ผมเซ็นหนังสือไปให้คนนึง ผมได้เซ็นคำว่า ขวานขวัญ จักฝานฝัน ใครไม่เข้าใจผมอธิบายไปสองสามคนก็เริ่มเหนื่อย ผมจะอธิบายพร้อมกันตรงนี้ว่ามันแปลว่าอะไร

ดีครับ

ขวานขวัญ จักฝานฝัน ผมเล่นคำคือตัว ฝ.ฝา ความหมายพออธิบายก็เลยงงว่าคนไม่ค่อยรู้จักคำว่าฝานก่อน ก็เลยมาต่อถึงเรื่องนี้ คือผมเขียนหนังสือหรือตอบคำถามหรืออะไรก็ตาม หรือแต่งเพลง ผมพุ่งไปที่เรื่องแนวความคิดผมเลยก็ได้ ผมเป็นพวกมนุษย์นิยม เป็นพวกชื่นชมกับกำลังใจและความฝันเฟื่องอยู่เหมือนกัน ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องหวานแหววเหลวไหลเรื่องความฝัน เพราะว่าผมหรือคนข้างๆ ตัว หรือว่าญาติพี่น้องหลายคน เท่าที่ผมมองผมว่าทุกคนมันมีอยู่ มีความใฝ่ฝันมีเป้า แล้วก็สิ่งเดียวที่จะทำให้เราฝานมันให้สำเร็จไอ้ฝันไอ้มะเฟืองที่ว่า ฝานฝันก็คือกำลังใจอย่างเดียว ผมเป็นพวกบ้าเรื่องนี้ ผมก็เลยใช้คำว่าขวัญ ขวัญก็คือกำลังใจ เอาให้ใหญ่หน่อยก็เป็นขวานเลย ขวานที่เป็นขวัญ

คำถามทุกวันนี้เท่าที่ผมดูในคุยกับประภาสซึ่งติดตามอ่านมาตลอดเนี่ย ค่อนข้างจะหลากหลายมาก ถ้าใครเคยอ่านก็คงจะรู้ มีตั้งแต่คำถามเกี่ยวกับเรื่องปัญหาครอบครัว ปัญหาระหว่างครูนักเรียน พ่อกับแม่ พ่อลูก ไปจนถึงคำถามประเภทความคิดทางศาสนาแล้วก็ปรัชญา จักรวาลเอกภพ ผมว่าพี่จิกคงได้รับคำถามอะไรที่มากกว่านี้ มีคำถามประเภทไหนไหมครับที่ไม่เรียกขึ้นมาตอบ หรือคำไหนประเภทไหนที่จะตอบทันที

ถามปัญหาชีวิตผมจะไม่ตอบ หรือถ้าเลือกมาตอบผมก็จะไม่ตอบตรงๆ เพราะว่าคือเราต้องรู้ว่าชีวิตของแต่ละคนๆ มีรายละเอียดที่เราไม่รู้ ที่เขาถามว่าเขาไปรักหมอนวด แล้วก็อยากได้ไปเป็นเมีย

มีคำถามประเภทนี้ด้วยเหรอ

มี ผมเอาลงผมตอบด้วย เขาบอกว่าถ้าเขาไม่ไปอยู่กับหมอนวดคนนี้ หมอนวดคนนี้จะกลับไปเป็นหมอนวดใหม่ คล้ายๆ อย่างนี้

ที่ว่าผมตั้งคอลัมน์ขึ้นมาเพื่อตอบคำถามชีวิตคงไม่ใช่แน่ๆ มันเป็นเรื่องของการดึงประเด็นอะไรก็ได้ในโลกนี้ขึ้นมาพูดคุย ผมคิดว่าคนที่อ่านหนังสือน่าจะไปหาคำตอบของเขาเองจริงๆ อีกทีนึงต่างหาก

คนที่เปิดคอลัมน์ลักษณะตอบคำถามที่เปิดกว้างขนาดนี้ มันคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกคนคาดหวัง รู้สึกกดดันไหม

เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยที่สุดเลย ผมกลับว่าผมไม่กดดันเลย เพราะว่าอย่างที่ผมบอกว่า ผมไม่ได้ตอบคำถามจริงๆ มันเหมือนกับว่า คนนั่งคุยกัน

หมายความว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะต้องเฉลยคำตอบ แนะนำทุกครั้ง

เพราะผมไม่รู้ว่าคำตอบเขาจะออกมาเป็นยังไงหลังจากดูหนังเสร็จแล้ว มันเป็นสไตล์ที่ว่าไม่ต้องตอบให้แก้ปัญหาได้ ผมถึงไม่กดดันว่าถามอะไรมาแล้วผมจะตอบได้ไหม

หลายๆ คำตอบหลายๆ ครั้งของพี่จิกเป็นลักษณะตั้งคำถามกลับไปด้วยซ้ำ มีคำถามอีกประเภทหนึ่งที่ผมไปอ่านเจอว่าเลี่ยงที่จะตอบก็คือ ปัญหาประเภทปัญหาเชาวน์

ครับปัญหาที่มันเป็นตลกทุกวันนี้

คำถามอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ คำถามประเภทไหน

มีคำถามที่หนักใจ เป็นคำถามที่บรรยายอารมณ์เยอะ เช่นคล้ายๆ ว่า อาจจะอกหัก หรือน้องชายติดยาเสพติดหรืออะไรก็ตาม แต่จะบรรยายความรู้สึกของตัวเองเยอะมาก เยอะจนกระทั่งรู้สึกสงสาร แต่ไม่ให้ข้อมูลต้นตอปัญหา อ่านแล้วหนักใจ ก็เลยตอบแต่สั้นๆ ไม่รู้จะตีประเด็นแตกยังไง

ผมว่าบางทีเหมือนระบายมากกว่า เพราะลักษณะพี่จิก คล้ายๆ กับว่าเขาอาจจะมาระบายให้ฟัง มีเรื่องแปลกๆ ไหมฮะ อย่างเช่นขอยืมเงิน

มีขอยืมเงิน

ขอโทษนะฮะ ผมทราบมาว่าคนดังๆ หลายคนจะถูกคนขอยืมเงินบ่อยๆ

อย่างยืมไปไถ่ของจากโรงจำนำ

หลายๆ คนคงทราบว่าพี่จิกจบสถาปัตย์จุฬาฯ จบสถาปัตย์เคยออกแบบอะไรเชิงสถาปัตยกรรมบ้างไหม

สามหลังครับตั้งแต่จบมา

บ้านเหรอครับ

บ้านสามหลัง หลังแรกออกแบบบ้านให้พี่ชาย หลังที่สอง ออกแบบบ้านให้แม่ยาย หลังที่สาม ออกให้บ้านตัวเอง ไม่ได้เงินสักหลัง เพราะว่าเป็นญาติกันอยู่แล้ว ก็คือว่าผมไม่เคยประกอบอาชีพนี้เลย

ผมว่าคำพูดประเภทนี้มีคนถามมาเยอะแล้วละ ว่าคนที่เรียนสถาปัตย์มาทำไมมันพลิกแพลงทำอะไรได้มากมาย อย่างถามพี่จิกอีกครั้งว่า วิชาทางสถาปัตย์มันมีประโยชน์ยังไง มันกว้างขนาดไหนถึงทำให้สามารถทำอะไรได้หลากหลายขนาดนี้

เป็นไปได้ไหมครับที่มันบังเอิญที่มาเป็นยุค 20 ปี ที่คนจบสถาปัตย์ดันมาทำงานที่ทำแล้วคนเห็นหน้าเห็นตา ผมเชื่อว่าคณะอื่น วิชาชีพอื่นเรียนแล้วก็สามารถไปประกอบอาชีพอื่นได้เหมือนกัน ถ้าผมตอบแบบเป็นธรรมสุดก็ต้องตอบแบบนี้ บังเอิญที่ในช่วง 10-20 ปีนี้ บางคนก็มาเป็นพระเอกหนัง บางคนก็มาแต่งเพลง ซึ่งทุกคนจะอยู่ในสายตาของคนดู

ผมว่าคนที่เราเรียนหนังสือกันมาในมหาวิทยาลัย หรือในระดับวิทยาลัยอะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าเขาสอนเราให้เป็นคน สอนเราให้รู้จักคนมากที่สุดเลย ไม่ว่าจะเรียนคณะอะไรก็ตาม เรียนอักษรศาสตร์ มานุษยวิทยา หรืออะไร แล้วก็ตรงนี้เราต้องไปทำงานกัน เอาตรงที่เราเรียนรู้มนุษย์ไปทำงานกัน ผมแบ่งวิชาในโลกนี้ออกเป็นสองวิชา ที่ผมเคยเขียนก็คือว่า วิชาที่เกี่ยวกับมนุษย์ และก็วิชาที่เกี่ยวกับโลก

วิชาที่เกี่ยวกับโลกก็คือวิชาพวกวิทยาศาสตร์ พวกแรงโน้มถ่วงอะไรก็ตาม ไฟฟ้าหรือว่าเรื่องที่เป็นหลักตายตัว มีอยู่แล้วในโลก ดนตรี แล้วก็อีกวิชานึง วิชาที่เกี่ยวกับมนุษย์ คือสิ่งที่มนุษย์สร้างมันขึ้นมาเอง ไม่เคยมีอยู่บนโลก วิชากฎหมาย ถักนิตติ้ง รวมไปถึงกามสูตร วิชาพวกนี้คือวิชาที่มนุษย์สร้างมันขึ้นมาเอง สถาปัตย์ วิชาที่เราเรียนอยู่ อักษรศาสตร์ ตัวหนังสือผมยังว่าที่เราไปเรียนๆ อยู่มีสองอย่างเท่านั้นเองคือ เรียนเรื่องมนุษย์ ให้เราเข้าใจมนุษย์แล้วก็ออกมาทำงานกัน ทำงานในเชิงสร้างสรรค์หรือที่เห็นแก่ตัวก็ว่ากันไป

สมมุติ คำถามสมมุติ ถ้าเวลานั้นสามารถไปเอ็นทรานซ์เลือกเข้าใหม่ ยกเว้นไม่เลือกสถาปัตย์ พี่ว่าพี่อยากจะเรียนอะไร

ผมอยากเรียนหมอ คือในบรรดาอาชีพ ผมค่อนข้างเทิดทูนหมอ เป็นอาชีพที่อยู่กับความเป็นความตายของมนุษย์ พูดในเชิงอุดมคตินะฮะ ผมค่อนข้างเทิดทูนหมอเป็นพิเศษ

พี่จิกทำอะไรมากมายเหลือเกิน ถามตรงๆ ว่าพี่จิกทำอะไรบ้างครับทุกวันนี้ ถ้าพูดถึงในอาชีพการงาน

เอ่อ ผมมักจะบอกว่า ผมทำงานอย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้ คือชวนคนไปดูหนังที่ว่า ผมจะทำงาน หน้าที่ของผมคืออย่างนี้ในทุกๆ ที่เหมือนกัน คือคุยเรื่องพล็อตหนังของเด็กคนนู้นมั่ง ไปคุยกันเรื่องอะไรต่ออะไรกันบ้าง เรื่องบทหนัง เรื่องการทำโฆษณาบ้าง เพลงโฆษณาก็แต่งนะ กับอันที่อยากแต่ง อันที่เราคิดว่าเราช่วยเขาได้จริงๆ ก็จะเข้าไปทำ

จะเรียกว่าครีเอทีฟได้ไหมฮะ ชอบคำนี้ไหมฮะ ครีเอทีฟ นักคิด

ก็ไม่รังเกียจอะไร

ขอโทษนะครับ ไม่รู้ตอบได้หรือเปล่า ถ้าเป็นผู้หญิงเขาห้ามถามคำว่า ตอนนี้อายุเท่าไหร่ครับ

ถามได้ครับ ตอนนี้อายุ 42 แล้วครับ

ถ้าอย่างนั้นผมอยากให้เล่าถึงตัวเองตอนที่อายุ มีสามช่วงวัยที่ผมอยากรู้ว่าพี่จะพูดถึงตัวเองว่าอย่างไร ตอนเป็นเด็กอายุสิบขวบอันที่หนึ่งนะครับ อันที่สองคือตอนเป็นวัยรุ่นอายุ 18 และอันที่สามคือตอนวัยเบญจเพส

เรื่องอดีต นี่ถามผมแล้วว่าสิบขวบทำอะไร คิดอะไร เป็นเด็กแบบไหน

10 ขวบผมอยู่หนองมน เริ่มดูหนัง ถ้าจำไม่ผิดปีสองปีนั้น นีล อาร์มสตรอง จะเหยียบดวงจันทร์ ไม่มีอะไรก็เป็นเด็กทั่วๆ ไป เล่นอยู่ตามลานวัด แล้วก็ศาลเจ้าตรงตลาดหนองมนก็จะไปเล่นบ่อยๆ

รุ่นนั้นเล่นอะไรกัน ลูกหิน

รุ่นผมเหรอ เล่นลูกหิน เล่นกระต่ายขาเดียว แล้วก็เล่นบอลก็มี ตี่จับยุคผมยังมีอยู่ครับ

ทราบว่า เป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่งด้วย

เรียนเก่งครับ อยู่โรงเรียนวัดกลางดอน เรียนหนังสือดี นี่ถามเรื่องสิบขวบ ผมนึกภาพขึ้นมาเลย ผมไปเล่นตรงราวรั้วเหล็กของศาลเจ้า จะมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติอยู่ มีรั้วเหล็กเป็นท่อนๆ ผมก็ไปปีนอยู่แถวๆ นั้น สมมุติว่ามันเป็นเรือดำน้ำ ในกลุ่มก็จะผลัดกันเป็นต้นหน

โอเค อายุ 18 วัยรุ่นแล้ว เข้ามหา"ลัยปีแรก

ปีแรก กินเหล้าอย่างเดียวเลยครับ ผมเห็นเด็กอายุ 18 ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว ผมยังชมว่าสมัยอายังกินแต่เหล้าอยู่เลย รู้สึกสนุกกับชีวิตมหา"ลัย ไว้ผมยาว แล้วก็มีเพื่อนต่างคณะเยอะ อักษรศาสตร์บ้าง บัญชีบ้าง นิเทศฯบ้าง มีวิศวะครับ มีเพื่อนข้ามไปศิลปากรบ้าง

คบผิวเผิน พวกวิศวะ

สนุกกับคำว่าเพื่อนมาก ยุคนั้นเป็นเพื่อนใหญ่สุดในชีวิต ก็จะอยู่กับเพื่อนผู้ชายไม่นอนบ้าน มันก็กินนอนกัน ผม 18 ผมอยู่สองบ้าน บ้านของคุณปินดากับบ้านของคุณศรัณยูที่ฝั่งธนฯ นอนกันที่นั่น

แล้วพ่อแม่เขาไม่บ่นเหรอ

เขาคงรู้ว่าบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

ไว้ผมยาวมาก แล้วก็เปลี่ยนไปหลายทรงมาก

มีหน้าม้าด้วยนะ บางทีไว้ผมหน้าม้า อยากเป็นเฉินหลง ไอ้หนุ่มหมัดเมา ผมก็คนหนุ่ม มันก็อยากทำอะไร แต่ผมชอบนะไว้ผมยาว เวลาลมพัด เวลายิ่งโบกรถไปเที่ยวไหน แล้วเกาะกระบะแล้วลมมันพัด มันเหมือนโลกเป็นของเรา ลงมาก็ยังเป็นรูปนั้นอยู่

เป็นช่วงรอยต่อชีวิตที่สำคัญของพี่จิกช่วงนึง ไม่รู้ว่าผมพูดอย่างนี้ถูกไหม เดาว่าพี่ค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเองหลายๆ อย่างในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเขียนซึ่งโอเคอาจจะเขียนมาตั้งแต่เด็กๆ แต่สมัยมหา"ลัยอาจจะได้เขียนมากหน่อย รวมถึงการเป็นคนมีอารมณ์ขัน อะไรอย่างนี้

ไม่ถูกฮะ บางครั้งผมยังกลับคิดว่า ที่นั่นแหล่งสกัดดาวรุ่งเลย เพราะแต่ละคนมันเซียนหมดเลย ใครปล่อยมุขออกมาไม่ดี ดับ แล้วก็พอดีผมชอบเขียนหนังสือตั้งแต่มัธยม เป็นคนทำจุลสารโรงเรียนวัดกลางดอน ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดที่ไม่น่ามีหนังสือได้ ผมก็โรเนียว เขียนทั้งเล่มเลยครับ

นี่คือหนังสือทำมือ มีมานานแล้ว

ทำมือ เขียนมานานแล้วครับ เรื่องชอบการแสดงชอบมาตั้งแต่เด็กๆ

มาถึงในช่วงวัยเบญจเพส คือช่วงที่เริ่มทำงานแล้ว

ครับ จบมาก็ทำงานโทรทัศน์เลย ในขณะที่หัดแต่งเพลง ยังแต่งเพลงอยู่บ้าง แล้วก็ช่วย จำไม่ได้ยังช่วยหนังสือคุณสมใจที่เปรียวอยู่หรือเปล่า หรือออกมาทำไปยาลใหญ่แล้วก็ไม่รู้ ประมาณนั้น ทำหลายอย่าง เป็นช่วงที่ทำงานหนักมากที่สุด

ถ้าให้พี่จิกพูดถึงชีวิตในเวลานี้ 42 ปี จะพูดถึงมันว่ายังไง พี่เป็นผู้ชายวัย 42 ที่ยังไง

อ้วน แล้วก็อ้วนไปหน่อย กินเยอะไปนิดนึง คงมีแค่นั้น

รู้สึกว่าชีวิตตอนนี้มันค่อนข้างจะลงตัวอะไรทำนองนั้นไหม

ไม่มี ผมไม่รู้สึกว่าชีวิตลงตัวหรือชีวิตโหยหาอะไร ผมรู้สึกว่ามันดำเนินของมันไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่วัยรุ่นแล้วนะฮะ อาจจะมีบ้างที่อยากได้กางเกงยีนส์ตัวใหม่ แต่ก็แค่นั้น ทุกวันนี้ผมก็อาจอยากได้เครื่องเสียงชุดใหม่สักชุดหนึ่ง เหมือนกับที่อยากได้กางเกงยีนส์ตัวใหม่ หรืออยากให้รองเท้าผ้าใบตอนเราอายุ 15 มันเก่ากว่านี้นิดนึง เพราะว่าตอนที่ซื้อมามันขาวมาก อยากให้มันดำกว่านี้หน่อย เพราะว่าใส่ไปแล้วอายเพื่อน ก็ยังคงเหมือนเดิม ชีวิตเราก็เหมือนเดิม มีความต้องการอยู่นิดๆ ตัวเรานิดนึง แล้วก็ทำให้มันได้ มีความสุขดีครับ

ถ้าถามว่าประภาส ชลศรานนท์ ในวัย 42 ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากวัย 18 ปี นอกจากความอ้วนคืออะไร

ผมสั้นลง ไม่รู้สึก อาจจะ ถ้ามันยะเยือกขึ้นก็เป็นเพราะวัย ถ้ามันจะช้าลงก็คงจะเป็นเพราะวัย ถ้าเราจะรอบคอบขึ้นบ้างก็คงเป็นเพราะว่าวัย

พี่จิกมักจะพูดถึงว่า เวลาทำอะไรและเริ่มต้นทำอะไรซักอย่าง มันจะเกิดจากสองสิ่งที่เพิ่มพูนมากๆ ก่อน ก็คือความเชื่อความศรัทธา ผมอยากให้พี่จิกพูดถึงมันหน่อย

ผมว่าพลังมันเยอะครับ มนุษย์ถ้าเชื่ออะไรซักอย่าง เชื่อจริงๆ แต่มันก็พูดยาก บางครั้งเรื่องที่เชื่อก็เป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่ดีในสายตาคนอื่น แต่ความเชื่อทำให้มนุษย์สามารถขับเครื่องบินไปชนตึกได้ มันมีแรงเยอะมากที่จะให้เราทำ ทำอะไรที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ ไม่รู้จะขยายความต่อไปว่าอะไร

ให้ยกตัวอย่างของพี่จิกเอง มีเรื่องอะไรที่พี่จิกคิดว่าดูศักยภาพของตัวเองแล้วไม่น่าทำได้ แต่เพราะมีความเชื่อความศรัทธาใส่เข้าไปเยอะๆ มันเลยทำได้ อีกคำนึงที่พี่จิกพูดบ่อยมาก รวมทั้งอยู่ในหนังสือ อยู่ในเพลงด้วย คือคำว่าความฝัน ถ้าผมถามว่า ความฝันของพี่จิกในเชิงรูปธรรมหรือนามธรรมมันคืออะไร

มันเป็นแค่สัญลักษณ์ที่เราจะหมายความถึง เป้าหมายของเรา ความสุขของเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมว่ามันเป็น แปลตรงๆ ก็คือของไม่จริง ที่มันไม่จริง ณ วันนี้ เท่านั้นเอง จะไปแปลว่าฝันหวานหรือความหวัง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มันคือของที่ยังไม่เกิด ผมให้เป็นสัญลักษณ์แค่ว่าของที่ยังไม่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง แน่นอนเรามีชีวิตอยู่ในโลกของความจริง แต่ว่าความฝันไม่ใช่สิ่งเหลวใหลหรือร้ายกาจอะไรที่จะมาทำให้เราไม่ดี

ความฝันมันเกี่ยวกับอายุไหมครับ หมายถึงว่าวัยรุ่นก็ฝันเยอะหน่อย พออายุมากขึ้นเราก็ฝันน้อยลง

ผมว่าทุกคนมีความฝันครับ ไม่ว่าคนที่จะมองโลกในแง่ร้ายที่สุดเลย ก็เชื่อว่าเขามีความฝันอยู่ เขาจะพูดออกว่ามันเป็นอะไรมากกว่า เขาอาจใช้เป็นคำอื่น เช่น จุดประสงค์ ใช้คำว่าอะไรก็ได้แทนคำนี้ แต่ความหมายผมคือ มันเป็นโลกในอุดมคตินิดๆ ดีกรีที่จะอ่อนแก่ก็ว่ากันไป

เป็นช่วงคำถามของผู้ฟัง

ตอนนี้พี่จิกมีความฝันอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง

มีเยอะครับ เยอะไปหมด อยากทำนู่นทำนี่ บางอย่างก็ไม่รุนแรง บางอย่างก็หาโอกาสไม่ได้

ผมทราบว่าอยากทำหนังใหญ่

ครับอยากทำหนังใหญ่ ยังหาเรื่องที่ตัวเองชอบไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องทำ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

ทราบว่ามีคนชวนมาทำนู่นทำนี่อยู่

ผมว่าวงการหนังไทยตอนนี้ใครๆ ก็ชวนกันหมด ใครที่มีวี่แววว่าน่าจะทำได้ก็จะถูกทาบทามจากบริษัทหนัง ผมว่าเป็นเรื่องปกติ อยากทำหนังการ์ตูนก็อยากทำ หลังจากที่ศึกษาดูแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องการลงทุน ไม่ถึงกับเป็นเป้าหมาย

ช่วยพูดถึงหนังการ์ตูนนิดนึง ผมทราบว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่มาก

อยากทำคือ ผมเป็นคนชอบการ์ตูน แล้วก็มีความฝันที่อยากเป็นนักเขียนการ์ตูน แต่ว่าฝีมือไม่ถึงขนาดนั้น เขียนได้คร่าวๆ แล้วผมก็มองว่าเทคโนโลยีในบ้านเราหรือว่าอะไรก็ตามในวงการการ์ตูน มันเริ่มกระเตื้องขึ้น แต่ผมรู้สึกว่ามันขาดเรื่องคาแร็กเตอร์กับเรื่องการออกแบบตัวการ์ตูน ก็หลงสำคัญไปแป๊บนึงว่าเราน่าจะทำได้ ก็ลองศึกษาดู รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย รวมทั้งการทำงานให้ละเอียดอย่างที่ฝรั่งเขาทำ อย่างดิสนีย์ใช้เงินเป็นหลายร้อยล้าน

มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วผมได้คุยกับพี่จิก พี่จิกพูดอันหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก หนังเนี่ยเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่ง อยากให้เล่าให้น้องๆ เพื่อนๆ ฟัง

ผมก็มีความสุขกับหนังฮอลลีวู้ด หนังทางฝั่งยุโรปก็ดูบ้าง หนังฮ่องกงก็ดูบ้าง แต่เราต้องยอมรับว่าฮอลลีวู้ดนี่ส่งหนังให้เราให้โลกดูเยอะมาก บางเรื่องก็เป็นเรื่องวรรณกรรมที่กินใจคนดูอย่างเรา หลายเรื่องที่ดูแล้วเกิดแรงบันดาลใจ หลายเรื่องทำให้เรานึกถึงตัวเอง นึกถึงคนรอบข้าง นึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ร้องไห้ก็เยอะ ไม่นับหนังทำเงินประเภทบู๊ล้างผลาญ

ผมเห็นสิ่งหนึ่งว่า โลกเราถูกวาง ถูกออกแบบโดยฮอลลีวู้ด เราแต่งตัวเหมือนฝรั่ง ผมก็ใส่ยีนส์เหมือนกับเมล กิ๊บสัน ผู้หญิงก็จะมองทรงผม เราต้องยอมรับว่าเพลงในนั้น เสียงเพลงร็อกแอนด์โรลก็อเมริกัน บลู แจ๊ซก็เป็นอเมริกัน ผมมองว่ามันเป็นอาวุธของอเมริกัน มองในแง่ดีมันก็คืออาวุธทางวรรณกรรมเหมือนกัน เคยวิเคราะห์กันเล่นๆ ว่ายุโรปฝั่งที่เป็นสังคมนิยมล้มทั้งแผงเพราะฮอลลีวู้ด ไม่ได้ล้มเพราะอาวุธอย่างอื่น มันกลายเป็นขยายวัฒนธรรม

ผมไม่ได้พูดว่าไม่ดีนะครับ อเมริกันขยายวัฒนธรรม เหมือนที่เด็กวัยรุ่นทุกวันนี้ เขารู้สึกดีต่อสังคมญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะ อาจฟังดูแรง การ์ตูนญี่ปุ่นผมก็ชอบอ่าน ผมคิดว่ามันเป็นอาวุธอย่างหนึ่งเหมือนกัน ตอนนี้เกาหลีก็เริ่มส่งมาแล้ว คนไทยยังไม่ส่งอะไรไปไหนเลย เราน่าจะแลกกัน

ก็รู้สึกแค่เป็นความฝันอย่างหนึ่ง ถ้ามีอะไรช่วยหนังไทยได้นะ ไม่ว่าจะเป็นค่ายไหนผมอยากเข้าไปช่วยเขา ไม่รู้ทำได้แค่ไหนเหมือนกัน ถ้ามองในแง่ร้ายนิดนึงว่า ลุยกันหน่อยสิเพราะว่ามันเป็นอาวุธทางวัฒนธรรมเหมือนกัน


มีชื่อคนแถวนี้อยู่ในบทความด้วยนะคะ ^__^
โดยคุณ : เฌอ - [16:10:29  11 ต.ค. 2545]

ความคิดเห็นที่ 1
@^-^@ ขอบคุณพี่เฌอมากขอรับ
ว่าแต่ยาวจังแฮะ ... ^^!>

ปล. อยากกินมะเฟืองเจ๊ญ.มั่งจัง
โดยคุณ :akejung - [16:47:02  11 ต.ค. 2545]

ความคิดเห็นที่ 2
ขอบคุณค่ะ

"ตี่จับยุคผมยังมีอยู่ครับ"
กระซิบบอกพี่จิกว่า ตี่จับ สิบกว่าปีหลังจากที่พี่เล่น
ก็ยังมีเด็กคนหนึ่งที่เกณฑ์คนในบ้านมาเล่นด้วยอยู่เลยค่ะ ^_^''
โดยคุณ :สี่ปอ - [8:45:47  12 ต.ค. 2545]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....