กระดานความรู้สึก


งานศพของผม
แขกทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมลาผมเป็นครั้งสุดท้าย ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดดำนะครับ


ถ้าท่านชอบสีดำเป็นการส่วนตัว ก็ตามสบายเลย แต่ถ้าจะใส่มาแค่เพราะเป็นมารยาททางสังคม ผมไม่คิดว่าจำเป็น


สีดำทำให้บรรยากาศเศร้าหมอง ผมอยากให้งานอำลาระหว่างเรามีแต่ความสนุก


ถ้าเป็นไปได้ เอาสีแดงเลยครับ มันร้อนแรงดี ยิ่งเป็นสีแดงของเสื้อทีมฟุตบอลอย่างลิเวอร์พูลยิ่งดีครับ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการระลึกว่าผมรักทีมนี้มากแค่ไหน


พูดถึงลิเวอร์พูล ท่านที่แฟนลูกหนังคงทราบดี ทีมนี้เป็นหนึ่งในทีมที่มีกองเชียร์มากที่สุดในโลก มีตำนานความสำเร็จมากมาย แม้ว่าจะเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นมานานแล้ว...


ถ้าจะให้ย้อนถึงความสำเร็จของลิเวอร์พูลที่ตราตรึงใจผมมากที่สุด ก็ต้องย้อนไปที่ ค.ศ.2005...


ปีนั้น ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ถ้วยใหญ่สุดของยุโรป หลังจากเอาชนะเอซีมิลาน ยอดทีมจากอิตาลี


ชัยชนะในค่ำคืนนั้นที่ Istanbul เป็นเหมือนน้ำทิพย์แห่งความหวังที่ก่อเกิดในหัวใจของกองเชียร์ที่เรียกตัวเองว่า “The Kop” อีกครั้ง แต่สิ่งที่ผมซาบซึ้งใจมากที่สุด คือ การกลับมาตีเสมอ หลังจากถูกยอดทีมจากอิตาลี (ที่ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะพลาดแชมป์ ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่งด้วยซ้ำ) นำไปก่อนถึง 3 ประตู


ผมไม่ได้มาเล่าความยิ่งใหญ่ของทีมหงส์แดง แต่อยากให้ท่านที่ใส่สีแดงมางานศพผม เข้าใจคำว่า “อย่ายอมแพ้”


หลายครั้งแค่เราคิดว่าเราคงแพ้แน่ๆ ก็ทำให้เราแพ้ไปตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มแข่งแล้ว


ผมไม่เห็นว่ามันจะสำคัญเลย ว่าเราแพ้ หรือ ชนะ ในเกมส์ต่างๆที่เราลงแข่ง


สิ่งสำคัญอยู่ที่เราได้ลงสนาม และสู้จนกว่าเสียงนกหวีดจะบอกหมดเวลา


เกมส์ในสนามกีฬา เกมส์ในสนามทำงาน หรือ เกมส์ในครอบครัว ผมเชื่อในความมุ่งมั่นตั้งใจจริง มากกว่าผลลัพธ์


ถ้าพระเจ้าเลือกที่จะให้เราแพ้ พระองค์คงมีเหตุผลของพระองค์


แต่สิ่งที่เราทำได้ และจะทำ คือ จะสู้ด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีคำว่ายอมแพ้


ผมไม่รู้จริงๆว่า สุดท้ายแล้ว ผมจะมีผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนสำหรับการแข่งในสนามชีวิต ผมรู้แค่ว่า ผมมีเป้าหมายที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข แล้วผมก็จะออกไปลุยเพื่อให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายนั้น


ผมจะกำหนดให้ตัวเองออกไปทำ แต่ผมกำหนดผลลัพธ์ไม่ได้


เหมือนที่ผู้มีพระคุณของผมท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “จงขวนขวายในเหตุ แต่สันโดษในผล”


แต่สิ่งที่ผมอยากให้ทุกท่านที่มางานของผม ตระหนักมากที่สุด คือ “อย่ายอมแพ้ต่อความไม่ดี”


ท่านไม่จำเป็นต้องดื่มเหล้า ถ้าท่านไม่ต้องการ แม้ว่าในขณะนั้น ทุกคนกำลังกำลังอยากให้ท่านดื่ม


ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งตัวสวยๆเกินกำลัง แม้ว่าสังคมของท่านกำลังทำกันอยู่


จะผิดอะไร ถ้าท่านอยากจะขึ้นรถเมล์ ทั้งๆที่คนรอบข้างขับรถกันหมด


MP3 แผ่นผี CD เถื่อน ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ท่านเจริญขึ้น แต่อาจทำให้ใครบางคน ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกกับท่าน มีชีวิตที่แย่ลง ฉะนั้น ท่านต้องเป็นคนหนึ่งที่จะปกป้องเขาเหล่านั้น


อย่าทำตามสังคมที่ท่านอยู่ ถ้าสิ่งนั้นมันขัดกับมโนธรรมธรรมในใจท่าน


อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม


ไม่ต้องกลัว ถ้าท่านพร้อมจะสู้ “ท่านจะไม่มีวันเดินเดียวดาย” เพราะจิตวิญญาณของผมจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป




กลับมาที่งานศพของผมต่อดีกว่า


ท่านจะนั่งคุยกับเพื่อนเก่าที่มาเจอกันในงาน ก็ไม่เป็นไรนะครับ แต่ช่วงที่ผมเชิญท่านว.วชิราเมธี (ถ้าผมสามารถทำได้) มานั่งสอนธรรมะของการดำรงชีวิต ท่านก็หยุดฟังสักนิดนะครับ


ไม่ต้องกังวลครับ งานผมไม่มีพระสวด หลังจากที่ท่านว.สอนเสร็จ ท่านยังมีเวลาคุยกันอีกมาก


หรือถ้าท่านใดไม่มีกิจกรรมที่จะให้ทำ ก็ลองเงี่ยหูฟังเพลงที่ผมจะเปิดคลอตลอดงาน (ยกเว้นช่วงที่ท่านว.สอน) ก็ได้ครับ...




“เกิดสงครามพันครั้ง เด็กก็ยังสวยงาม เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม...”




“เด็กน้อยได้ยินเรื่องราวกล่าวขานมานาน ว่าใครได้จับหิ่งห้อยมาเก็บใต้หมอน...”




“ใครอยากมีฝันล้อมวงตรงเข้ามา มีฝันที่ว่าแบบหรูเลือกดูกัน คนที่ไม่มีฝันไกล ใครไม่กล้าจะฝันกัน ขายถูกๆเท่านั้น ไม่เอาแพงเลย...”




คนรุ่นผมบางคน คงจะทราบว่า เพลงเหล่านี้ คือ เพลงของวงเฉลียง


ในความรู้สึกของผม “เฉลียง” คือ “คาราบาว” อีก Version หนึ่ง


สไตล์ดนตรีต่างกัน แต่พยายามสะท้อนบางมุมของสังคม ออกมาเป็นบทเพลง เหมือนกัน


   พูดถึงเด็ก พูดถึงความพอเพียง พูดถึงสิ่งแวดล้อม พูดถึงความสุขง่ายๆ


               พูดในสิ่งที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองไม่พูดกัน ซึ่งผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของ GDP ปีละ 20% แต่เด็กติดยา ผู้คนฟุ้มเฟือยจนเป็นหนี้เป็นสิน ไม่รักษาดูแลโลกให้สวยงาม และความสุข คือ สิ่งที่หาได้ยาก เรายังอยากให้ประเทศเติบโตปีละ 20% อยู่มั้ย




เฉลียง คือ ตัวโน้ตอารมณ์ดี


ผมอยากให้ทุกท่านอารมณ์ดี


เมื่อท่านอามรณ์ดีแล้ว อย่าลืมทำให้สังคมของท่านอารมณ์ดีไปด้วยนะครับ




ถ้าพูดถึงเฉลียง ไม่เอ่ยถึง “คุณประภาส ชลศรานนท์” ก็คงไม่ครบองค์ประชุม


คุณประภาส คือ ผู้ก่อตั้งวงเฉลียง แม้ไม่เคยเรียกตัวเองว่าเฉลียง


คุณประภาส คือ ผู้ก่อตั้ง WORK POINT ร่วมกับคุณปัญญา


คุณประภาส เคยเขียนคอลัมน์ “คุยกับประภาส” ให้มติชน


เป็นคอลัมน์ที่ผู้อ่านจะเขียนคำถามต่างๆ ที่ค้างคาใจ สงสัย อยากรู้ รวมไปถึงอยากระบายอะไรบางอย่าง มาให้คุณประภาสตอบ


แต่คุณประภาสไม่เคยตอบ


กลับตั้งคำถามกลับไปให้ผู้อ่านต้องคิดเพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง


ผมไม่ได้อ่านคอลัมน์นี้ในมติชน


ผมอ่านตอนรวมเล่ม


เล่มแรกที่อ่าน คือ เล่มที่รวมเล่มครั้งที่ 7 “เท่าพระอาทิตย์”


ซึ่งหลังจากอ่านจบ ก็ไม่ลังเลเลยที่จะหาซื้อเล่มอื่นๆที่เหลือ


ผมอยากให้ทุกท่านในมางานศพของผม ไปหาซื้อมาอ่าน


หนังสือชุดนี้ จะทำให้ท่านรู้ว่า ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดเสมอไป


คงไม่เกินเลยที่ผมจะบอกว่า หนังสือของคุณประภาส เป็นแนวทางหนึ่งในการดำรงชีวิตของผม แม้ว่าเราจะไม่เคยได้พบเจอกันจริงๆ ผมก็ยังรู้สึกว่า คุณประภาส คือ ครูที่มีบุญคุณกับผมมากท่านหนึ่ง




คุณประภาสมีเพลงเพราะๆมากมาย ที่เขียนขึ้นมา ให้โลกนี้ได้ฟัง...




“เธอเคยถามกับฉัน ที่ฉันรักเธอ ว่าอยากจะรู้รักเพราะอะไร...”




“อาจเป็น เพราะเรา คู่กันมาแต่ชาติไหน จะรัก รักเธอตลอดไป เป็นลมหายใจของกันและกัน”




“เมื่อก่อนครั้งฉันเป็นเด็กน้อยคอยแต่คลาน พ่อหัดตั้งไข่ให้ฉันจนเป็น...”




ผมอยากมีเพลงของตัวเอง ที่คุณประภาสแต่งให้


มันคงเป็นเพลงที่มีแต่ด้านบวก มีแต่ความรักให้กันและกัน และก็มีมุมที่ทำให้เรานึกถึงสังคม พอๆกับนึกถึงตัวเอง


ผมไม่ได้หมายความว่า ชีวิตผมมีแต่ด้านดีๆ


แต่คุณประภาสมักมองเห็นด้านดีๆ ของสิ่งต่างๆเสมอ


ทุกครั้งที่ท่านฟังเพลงของผม ที่คุณประภาสแต่งให้ ผมอยากให้ทุกท่านรู้ว่า ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ


แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตท่าน ก็ยังมีมุมเล็กๆที่สวยงามซ้อนอยู่...




เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะขอ...


ผมขอไม่รับพวงหรีด


ถ้าท่านอยากจะระลึกถึงผมเป็นครั้งสุดท้าย


ผมขอ 2 อย่าง...


ท่านเอาเงินที่จะซื้อพวงหรีด ไปทำบุญกับคนที่เขาควรจะได้รับ


และสัญญากับผม ว่า “ท่านจะทำอะไรเพื่อให้สังคมและโลกใบนี้สวยงามมากขึ้นทุกๆวัน”




ผมไม่รู้หรอกว่า งานศพผมจัดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่


อาจจะเร็วๆนี้ หรืออีกนาน ซึ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเลย


สิ่งสำคัญคือ จนกว่าจะถึงวันนั้น...


ผมจะไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม


และผมขอทำให้ทุกๆวันที่ผมดำรงชีวิต มีส่วนที่จะทำให้โลกใบนี้สวยงามขึ้น


มาร่วมกันทำกับผมมั้ยครับ...

โดยคุณ : คนผ่านมา - [18:34:25  31 ก.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 1
............

สีแดงแรงไปนิด

กะว่าจะใส่สีเขียว

ให้พอเปรี้ยวหัวใจ

ไปงานของคุณ  ...ถ้าเชิญ

..........
โดยคุณ :ติดดิน - [21:48:14  1 ส.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 2
ผมว่างานศพ มันไม่ใช่งานของเจ้าของศพ แต่มันเป็นงานของครอบครัว ต่างจังหวัดที่มีการจัดงานมหรสพ หรือเล่นไพ่ เพื่อไม่ให้ครอบครัวของคนตายต้องจมอยู่กับความเศร้าลำพัง ผมว่ามันเป็นกุศโลบายที่ดีนะครับ น่ารักษาไว้. วันนั้นเวลานั้นคนที่ตายไปแล้วคงไม่มีโอกาสมาดูแลห่วงไยคนข้างหลัง แต่ยังมีคนอื่นๆแบ่งเบาอย่างน้อยก็บรรเทาได้ สักสี่ห้าวัน ผมคงได้แต่บอกคนที่ผมรักว่า งานศพของเราขอให้เป็นงานดีสำหรับคนเป็น ทำอย่างที่อยากทำ ถ้าทำแล้วสบายใจ แต่อย่าเกินตัวอย่าลำบาก ไม่เช่นนั้นมันคงเป็นงานศพของทั้งคนตายและคนเป็น
โดยคุณ :เฉียงๆ - [17:43:05  8 ส.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 3
ชอบความคิดที่ 2 เฉลียงเป็นศิลปิน ก็คิดแบบศิลปินไม่ว่ากัน...น่ะนะ ใส่ดำขาวก็อนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมเดิมๆ ที่แฝงแนวคิดเดินสายกลางก็ดี อย่าใส่สีแดงเลยขอร้อง หรีดเปลืองตังค์เห็นด้วย แต่มันก็แสดงออกสื่อความหมายที่ดี เอาเป็นว่าใครอยากทำให้อย่างไรก็แล้วแต่กำลังทรัพย์
โดยคุณ :เอียงๆๆ - [16:10:17  21 ก.ย. 2553]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....