ภาพสะท้อนของตัวเรา
Source: Forwarded mail
ลองอ่านดูนะเป็นบทความที่ดีมาก
ภาพสะท้อนของตัวเรา
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาศัยอยู่บ้านหลังหนึ่ง ทุกๆเช้า
ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบนบ้าน
และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง
" เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน
ไม่รู้เขาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่างไร "
สามีก็ตอบว่า "อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน"
แต่ภรรยาก็ยังไปแอบดูเพื่อนบ้านอยู่ทุกเช้าจากหน้าต่างข้างบนบ้าน
และวิ่งกลับมารายงานสามีทุกเช้า
" เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว"
ต่อมาวันหนึ่ง ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามี ด้วยความแปลกประหลาดใจ
"ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด
อยากจะรู้เหลือเกินว่า เขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือทำอย่างไร.."
สามีหัวเราะและกล่าวว่า "นี่..ฉันรำคาเธอเหลือเกิน
เมื่อเช้าฉันตื่นแต่เช้ามืด และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้ใสสะอาด..
ก่อนหน้านี้ กระจกมันสกปรก เธอมองออกไป ก็เห็นแต่ความสกปรก.."
มนุษย์เราชอบมองคนอื่น โดยผ่านจิตใจของเราออกไป
เมื่อจิตใจของเราสะอาด เราก็จะเห็นแต่ความดีงามรอบๆ ตัว
แต่ถ้าจิตใจของเราสกปรก เราก็จะเห็นแต่ความสกปรกรอบตัว
การที่เราเห็นแต่ความเลวรอบ ๆ ตัวเรา เราต้องเข้าใจว่า
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เราเห็น มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา
และเราจะต้องหาทางฝึกจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์
ถ้าเราเห็นแต่สิ่งที่เลว จิตใจก็ไม่สงบ เราก็จะกลุ้มอกกลุ้มใจ
มีความทุกข์ แต่ถ้าเราหัดมองในแง่ดี เราก็จะคิดแต่สิ่งที่ดี จิตใจก็จะเบิกบานและมีความสุข
หมายเหตุ..
บทความบทนี้เขียนโดย.. ดร. อาจ-อง ชุมสาย ณ อยุธยา
จากหนังสือ ชีวิตงาม เล่มที่ ๘ หน้าที่ ๔๑
ในหลายๆ ครั้งที่เราจำเป็นต้องเผชิกับการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะมาถึง
สิ่งที่ถึงตัวเราก่อนมักจะเป็นความกลัว
กลัวที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งที่บางทีเราก็ไม่ทราบว่าฉากต่อไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร
เคยอ่านเจอเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง แต่หาต้นฉบับไม่เจอแล้ว
เล่าถึงเรื่องราวของหิงสาวคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กนี้มานานตั้งแต่เด็ก
หน้าบ้านของหล่อนมีต้นไม้ให่แผ่กิ่งก้านสาขาจนทำให้บริเวณนั้นดูร่มรื่นเป็นพิเศษ
และแล้ววันหนึ่งเมื่อต้นไม้นั้นพ่ายแพ้แก่กาลเวลา
กิ่งก้านที่เคยร่มเย็นกลับก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้น เมื่อมันหักและหล่นใส่บ้านข้างเคียงบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นปัหา
ถึงขั้นที่จะต้องโค่นล้มต้นไม้ให่นั้นทิ้ง
หลังจากหิงสาวทราบว่าไม่สามารถจะคงต้นไม้นี้ไว้ได้หล่อนถึงกับกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา
ต่อไปนี้จะเอาร่มเงาจากไม้ให่ที่ไหนคอยกำบังแดดฝน
ไม่มีภาพที่เคยมีอีกแล้วยามมองออกไปนอกหน้าต่าง
ยิ่งคิดไปต่างๆ นานาก็ยิ่งให้รู้สึกเสียดายไม้ให่นั้นยิ่ง
วันที่ต้องตัดต้นไม้นั้น
หล่อนได้ยินคำพูดจากเพื่อนของเธอที่ต้องการปลอบใจว่า
"อย่าเสียดายกับสิ่งที่เสียไป จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะตามมา"
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีคำพูดใดๆ เจาะไชเข้าไปถึงตัวเธอๆ ได้
วันเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์
ชีวิตของเธอหลังต้นไม้ให่ถูกโค่นเริ่มเปลี่ยนแปลง
ทุกเช้าที่เธอตื่น เธอจะได้รับแสงแดดส่องเข้ามาในบริเวณห้องของเธอ
จนทำให้วันนั้นเกิดรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที เธอได้บริเวณบ้านมากขึ้น สำหรับปลูกไม้ดอกที่อยากจะปลูกมานาน
เธอกลับเริ่มรู้สึกดีๆ กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
มันไม่ได้แย่ไปอย่างที่เธอคาดไว้เสียทีเดียว
ถ้าต้นไม้ให่นั้นไม่ถูกโค่นลง
วันนี้เธอคงไม่ได้เห็นภาพเด็กๆ
วิ่งขึ้นลงรถรับส่งโรงเรียนอย่างร่าเริงในอีกมุม
ตอนนี้เธอเข้าใจกับคำว่า "อย่าเสียดายในสิ่งที่เสียไป
แต่จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"
เรื่องนี้บางทีคงถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่าต้นฉบับ แต่ตอนอ่าน
พออ่านจบแล้วรู้สึกว่ามันเป็นความจริง
ที่ส่วนมากแล้ว เรามักจะกลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ทุกอย่างมันอยู่ที่ความคิดจริงๆ นะ
คนเรามักกลัวที่จะเข้าไปในห้องมืด
ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในห้องนั้นมีอะไรบ้าง
แต่ไอ้ที่กลัวๆ อยู่น่ะมันอยู่ในความคิดทั้งนั้น
อย่างบางคนก็กลัวที่จะสูเสียคนรักไป ทั้งๆ
ที่ก็ไม่ได้มองหรอกนะว่าไอ้ที่กอดๆ
อยู่น่ะ มันเหมาะมันดีกับเราแล้วจริงหรือ
กลัวว่าต่อไปถ้าขาดเขาหรือเธอไปชีวิตจะเป็นยังไง เดินห้างคนเดียว
ไปไหนมาไหนคนเดียว กลัวเจอคนที่แย่กว่าเดิม
อะไรก็ตามที่คุณกลัวและคิดไปเรื่อย จนทำให้คุณกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง
จนบางทียอมที่จะทนกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงไปยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลง
คุณลองมองในอีกมุมที่หิงสาวคนในเรื่องไม่ได้มองดูสิ
มุมมองที่เป็นบวกกับชีวิตคุณ
มุมมองที่จะทำให้คุณก้าวต่อไปได้ด้วยความตื่นเต้นและยินดี
"อย่าเสียดายในสิ่งที่เสียไป
แต่จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น" โดยคุณ :
Mr.Mint - [13:24:00 23 พ.ค. 2545] |