กระดานความรู้สึก


รายงานของนักศึกษาปริญญาโท เกี่ยวกับสื่อสารในบทเพลงเฉลียง
เมื่อคนข้างนอกเปิดประตูสู่เฉลียง

ในปี พ.ศ. 2525 วงดนตรีนาม “เฉลียง” ได้ปรากฏโฉมขึ้นพร้อมกับภาพลักษณ์ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับวงดนตรีในยุคนั้น   คนทั่วๆไปรู้จักเฉลียงในนามของกลุ่มนักร้องอารมณ์ดี ภายใต้สโลแกนที่ว่า “กลุ่มตัวโน้ตอารมณ์ดี คนดนตรีนามเฉลียง”

ภาพของเฉลียงที่ปรากฏกับสายตาประชาชนจะเป็นกลุ่มนักร้องที่มีการศึกษาดี  สมาชิกส่วนใหญ่เรียนจบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  สถาบันอันทรงเกียรติ  ภาพของเฉลียงจึงเป็นภาพที่เยาวชนรู้สึกถึงการเป็นต้นแบบที่ดีในการดำเนินชีวิต

นอกเหนือจากภาพลักษณ์ของวงแล้ว  เฉลียงมีความโดดเด่นในเรื่องของบทเพลง  ที่แปลกแยกออกจากบทเพลงในยุคนั้นอย่างสิ้นเชิง  หรือแม้กระทั่งในปัจจุบันเพลงเฉลียงยังคงเป็นเพลงที่คนเรียกว่า “เพลงแบบเฉลียง”   และเชื่อว่ายังไม่มีวงดนตรีหรือนักร้องกลุ่มใดทำได้เหมือนเฉลียง
จากวันที่เฉลียงเป็นที่รู้จักในวงการดนตรีบ้านเราจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 21 ปี 7 เดือน (ข้อมูลจาก Web site : www.chaliang.com,กันยายน 2546)  เฉลียงยังคงเป็นกลุ่มนักร้อง ที่มีคนพูดถึงอยู่เสมอ   แม้แต่ล่าสุดเฉลียงยังได้รับการติดต่อให้ถ่ายโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง  ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า เวลา 20 กว่าปีที่เฉลียงถือกำเนิดขึ้นมา จนหยุดบทบาทการเป็นนักร้องลงใน พ.ศ. 2533 (เรื่องราวบนแผ่นไม้,2543) นับเวลากว่าสิบปี ยังคงมีผู้ติดตามผลงาน และชื่นชมอยู่เสมอ ทำให้สงสัยว่าทำไม กลุ่มนักร้องกลุ่มนี้ยังคงอยู่ในใจคนฟังได้ยาวนานขนาดนี้  ถึงขนาดมี Web site เป็นของตัวเอง มีการจัดตั้ง “กองทุนเฉลียง” เพื่อหารายได้เข้าสาธารณะกุศลต่างๆ    ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปใน Web board (สมุดเยี่ยม) พบว่าหลายๆคนในนั้นเป็นเด็กรุ่นใหม่  ที่ไม่ทันแม้แต่ได้มีโอกาส ได้เห็นเฉลียงยืนบนเวทีคอนเสิร์ตในขณะที่ยังมีการรวมวงอยู่ (ไม่รวมคอนเสิร์ตพิเศษที่จัดขึ้นเฉพาะกิจที่จัดแสดงหลังจากยุบวงไปแล้ว – คอนเสิร์ตแก้คิดถึงฉลองสิบกว่าปีเฉลียง พ.ศ.2537 , คอนเสิร์ตเรื่องราวบนแผ่นไม้ พ.ศ.2543)  

จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าปรากฏการณ์นี้เป็นเพียงกระแสความนิยมชั่วคราวจริงหรือ  นักร้องหรือวงดนตรีหลายๆวงในบ้านเราที่มีกระแสความนิยมในช่วงที่มีผลงานออกสู่ประชาชน  แต่เมื่อหยุดบทบาทของตนลง  กระแสความนิยมก็ลดลง อาจจะเนื่องด้วยแฟนเพลงโตขึ้น  ซึ่งอาจจะรู้สึกดีๆเวลาที่ได้กลับไปฟังเพลงนั้นอีกครั้ง เป็นการโหยหาอดีต แต่ก็ไม่ได้เหนียวแน่นเหมือนแฟนเพลงเฉลียง
แฟนเพลงเฉลียงที่มีโอกาสได้เสพผลงานของวงเฉลียง ในช่วงที่มีผลงานอยู่นั้น  มักจะเรียกตัวเองว่า “คนรุ่นเฉลียง” (เรื่องราวบนแผ่นไม้, 2543)

หลายๆคนมีความคิดเห็นต่อวงเฉลียงแตกต่างกันออกไป เช่น


คุณอัญชลี   วงศ์สว่างพาณิชย์  อายุ 31 ปี กล่าวว่า
“เฉลียงเป็นวงที่มีเอกลักษณ์ทางความคิด  เนื้อร้องโดนใจมีวิธีคิดที่ทำให้มองโลกในแง่ดี   รู้สึกชื่นชมสมาชิกในวง อยากเก่งให้ได้อย่างเค้า เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต  ทุกคนมีหน้าที่การงานที่ดีมีความเป็นตัวของตัวเอง     โดยเฉพาะเนื้อร้อง,เนื้อหาไม่ได้ให้แค่บันเทิง  แต่ให้สาระทัศนคติในแง่ดี  เพลงรักก็ไม่ใช่แนวอกหักเศร้าสร้อย  ฉีกรูปแบบทางความคิด  ให้มองโลกอีกแง่หนึ่ง  เพลงสมัยนั้นหรือสมัยนี้ยังคงเหมือนกันหมด  เฉลียงมีเพลงหลายรูปแบบทั้ง รัก, ทั่วไป  ใน1 ม้วนจะมีเพลงหลากหลาย  ดนตรีเหมาะสมกับเนื้อ  ฟังได้เรื่อยๆ สบายๆ ผ่อนคลายอารมณ์ดี  ให้แง่คิด มีมุมมองแปลกๆ สามารถฟังได้เรื่อยๆ ทุกวันนี้ยังคงหยิบมาฟังอยู่เสมอ ถ้าตอนไหนที่รู้สึกแย่มากๆ  จะหยิบเพลงขึ้นมาฟังก็จะดีขึ้น  และอีกอย่างที่ชอบ คือ LOGO รู้สึกว่าเค้าคิดก่อนที่จะออกมา  มีIDEA อยู่ในทุกๆอย่าง ไม่ได้คิดแค่ Shot เดียว มีมากกว่านั้น  เนื้อเพลงแค่นี้ไม่ได้บอกแค่เรื่องเดียว  มองได้หลายๆเรื่อง”    

 คุณ ชายตาบอด (นามแฝง) อายุ 30ปี กล่าวว่า
“เพลงเฉลียงเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการเดินทางฝ่าฟันชีวิตวัยรุ่นก็มิผิดเลย  สำหรับเราเฉลียงมีพละกำลังอำนาจกับชีวิตเราขนาดนั้นเลย   ถ้าจะเอานิยามสั้นๆ แทนความรู้สึกที่ได้รับจากเฉลียงก็คือ  "สิ่งละอันพันละน้อยที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ล้วนมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ในตัวมันแต่ชีวิตเราเองกลับไม่สำคัญและไม่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น" คือหมายความว่า มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่เรามิควรมองข้ามในความสำคัญของมัน   แต่การมองสิ่งใดให้สำคัญ มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องหมกมุ่นกับความคิด เรามองแบบสบายๆ แบบติงต๊องบ้างก็ได้”

ในขณะที่ คุณฐิติพงศ์  ศิริรัตน์อัศดร อายุ 27 ปี เล่าว่า
“รู้จักเฉลียงมาตั้งแต่ ม.ต้น ชอบเพราะเหมือนวงนี้เป็นตัวแทนของกลุ่มวัยรุ่นที่เราอยากทำตาม ประสบความสำเร็จทางด้านการเรียน และมีความสามารถทางด้านดนตรีและยิ่งสมาชิกในวงเรียนอยู่คณะสถาปัตย์ฯ, นิเทศฯ ซึ่งตอนนั้นเราก็อยากจะเรียนแนวนี้อยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกชอบ ก็เลยติดตามผลงาน แต่ที่สำคัญคือชอบเพลงเค้า เพลงทุกเพลงเรียกว่าแทบทุกเพลง จะมีความหมายที่ดี เข้าใจง่าย และคำก็กระชับ
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เริ่มเป็นวัยรุ่น เริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง  เริ่มมีความฝันของเราเอง  แล้วเพลงส่วนใหญ่ของเฉลียงจะพูดถึงตรงนั้น  นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความรักด้วย  ความรักของเฉลียงจะเป็นความรักในบางมุมมอง  ที่ในบางครั้งเราก็ไม่ได้พูดกัน  อย่างในนักร้องอื่นๆอาจจะพูดแค่ว่าเราอกหักจากคนอื่น  เราสมหวังอย่างไง  แต่ของเฉลียงจะมีแง่มุมหลายๆแง่ แง่ที่เราได้คิดในบางครั้ง  เช่นอกหักก็ไม่เป็นไรก็มี อย่างเพลง ใจเย็นน้องชาย  ให้ออกเป็นแนวขำด้วยซ้ำไป  และที่ชอบอีกอย่างก็คือ ความเป็น Entertainer ชอบมากทุกคนในวงตลก ชอบ เพลงเฉลียงเป็นเพลงที่ฟังง่าย ฟังสบาย คล้ายว่าเราไม่รู้ตัวว่าถูกสอน “

อย่างไรก็ตามผู้เขียนได้พยายามสัมภาษณ์  และสอบถามบุคคลที่เป็นรุ่นหลังจากที่วงเฉลียงยุบวงไปแล้ว  ต่อความคิดเห็นที่มีกับวงเฉลียง ดังนี้

คุณกำพล   สมิทธารักษ์  อายุ 24 ปี กล่าวว่า
“ตอนเฉลียงรวมวงยังไม่ได้ฟัง  ยังเล็กมาก  พึ่งมาได้ฟัง ประมาณ ม.3 – ม.4  พอดีเฉลียงมีคอนเสิร์ตแก้คิดถึง   มีการออกเพลงรวมฮิต  มีเพลงไม่รักแต่คิดถึง  เห็นรุ่นพี่เค้าฟัง ก็ฟังตาม เลยเริ่มฟังจริงจังเริ่มไปหาเทปเก่าๆมาฟัง  ก็รู้สึกดีๆ เพราะแต่แรกเบื่อเพลง GRAMMY , RS มาก ไม่ชอบ เพลงฉันรักเธอ เธอไม่รักฉัน   แต่ถ้าเป็นเพลงที่มันไม่เกี่ยวกับความรัก มันก็ออกมาดูไม่ทันสมัย น่าเบื่อ  แต่เฉลียงเค้าร้องแบบเค้า ไม่ใช่พูดถึงความรัก  แต่ฟังแล้วดูดี  แล้วเพลงเค้าส่วนใหญ่มันสำหรับคนไทยฟัง  เนื้อมันจะเหมาะกับคนไทย  เป็นชีวิตง่ายๆ   แต่ถึงแม้จะเป็นเพลงรักก็เป็นเพลงรักประมาณเธอไม่รักฉัน  ฉันก็ขอมีเธออยู่ในใจ  เธอมีความสุข ฉันก็พอใจ  เป็นประมาณนี้หมดเลย  คือไม่ใช่ว่าอกหักไม่มีเลย  แต่เป็นประมาณว่า รักเค้า  เค้าไม่รักก็ไม่เป็นไร  ทุกเพลง  เป็นประมาณรักในอุดมคติ   ทำได้ก็ดี  แต่เพลงทั่วไปอย่างนิทานหิ่งห้อย  ชอบ  เพราะมันไม่ใช่เพลงรัก  แต่มันเพราะ  มันมีอะไรมากกว่าเนื้อ ฟังดีๆแล้ว  เออ.. มันเหมือนมีคติธรรมเจือๆ  เลยชอบฟัง  เพลงมันอาจจะไม่ถึงศาสนาแต่เป็นปรัชญากลายๆ  ให้เรายึดถือ   คือเพลงเฉลียงนะถ้าฟังทั้งม้วนนะ  มันได้อะไรดีๆเยอะเลย  เหมือนเป็นข้อคิดของเรา  คนอื่นเค้าจะมีคำคม มีปรัชญา  แต่ปรัชญาของเราคือเพลงเฉลียง  คือมันเป็นแนวยึดให้เราเดินไปได้  เรารู้สึกว่าทำแล้วมันดี  แล้วเราก็พยายามทำให้ได้อย่างนั้น“

สำหรับคุณ ศิริกุล  ลพสุนทร  อายุ 24 ปี กล่าวว่า
“รู้จักเฉลียงจากเพลง ตอนแรกไม่รู้เลยว่าวงเฉลียงมีใครบ้าง แล้วดีเจก็บอกว่าวงเฉลียงนะ ก็โอเค เป็นเพลงของวงเฉลียงนะ พึ่งมารู้ก็ตอนเห็นในทีวีว่าเฉลียงมีคนนี้…คนนี้   ตอน ม.ต้นเริ่มเคยได้ยินก่อน ว่าเฉลียงมีเพลงนั้นเพลงนี้ ช่วงที่เริ่มฟังหลายๆ เพลงของเฉลียง ก็ตอน ม ปลาย  ฟังวิทยุพวกคลื่นที่เค้าเปิด Easy listening แล้วเค้าย้อนกลับไปเปิดเพลงเก่าๆ ก็โอเค เฉลียงก็มีหลายเพลงนะที่เพราะ แต่ไม่ได้รู้จักวงเฉลียงแบบโดยตรง   ที่ฟัง ฟังเพราะตัวเพลง คือเพลงเพราะแต่คือไม่ได้รู้สึกอะไรกับตัวศิลปิน รู้สึกว่าเพลงเพราะ รู้สึกว่าเออ… เพลงนี้มันก็ออกมานานแล้วนะแต่เราฟังตอนนี้เรายังรู้สึกว่ามันยังเพราะอยู่ เพลงเค้าร่วมสมัย ฟังเมื่อไหร่ก็ได้ คือมันจริง เนื้อเพลงมันไม่ล้าสมัย สามารถเอามาใช้เมื่อไร่ก็ได้ ใช้ได้ให้กำลังใจได้ตลอด”

คุณ เมทินี  ทิลาวงศ์ อายุ 21 ปี กล่าวว่า
“รู้จักแต่ว่าเพลงเป็นเพลงของเฉลียง ตอนแรกไม่รู้จักเลยว่าเฉลียงคือใคร ได้ฟังเพลงก็ชอบ ชอบทำนอง ชอบเนื้อเพลงสบายๆ ฟังแล้วสบายใจ”

จากการให้สัมภาษณ์ทั้งหมด ผู้เขียนมองว่าหากจะมองถึงความชื่นชอบของแต่ละคนที่มีต่อบทเพลงของวงเฉลียงนั้นขึ้นอยู่กับบริบทรอบๆมากกว่า  คนในรุ่นเฉลียง ที่อยู่ในช่วงที่วงเฉลียงกำลังดัง เติบโตมากับบทเพลงของเฉลียง ย่อมมีบริบทต่างๆมาช่วยส่งเสริมมากขึ้น  ด้วยภาพของสมาชิกวงเป็นตัวส่งให้คนที่ชื่นชอบรู้สึกชื่นชมในผลงานไปด้วย  ในขณะที่คนอีกส่วนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในขณะที่วงเฉลียงกำลังดัง ไม่มีภาพเหล่านั้นอยู่ในใจ  การฟังเพลงเฉลียงจึงเป็นที่ความชอบในเนื้อหาของเพลงจริงๆ  โดยไม่ต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากภายนอก
และเมื่อมองลึกลงไปในเนื้อหาของเพลงแต่ละเพลง  ผู้เขียนได้ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เลือกเพลงที่ชอบและมีความรู้สึกกับเพลงนั้นๆมากที่สุดมาคนละเพลงถึงสองเพลง เช่น

เพลงนิทานหิ่งห้อย
เด็กน้อยได้ยินเรื่องราวกล่าวขานมานาน  
ว่าใครได้จับหิ่งห้อยมาเก็บเอาไว้ใต้หมอน
นอนคืนนั้นจะฝันดี  จะฝันเห็นดวงดาวมากมาย  
ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง ฝันแสนสวยงาม
เด็กน้อยนั่งตักคุณยายไถ่ถามความจริง  
ยายยิ้มกินหมากหนึ่งคำไม่ตอบอะไรส่ายหัว
ใจเด็กน้อยอยากเห็นจริง อยากเห็นดวงดาวมากมาย
อยากเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง  อยากฝันสวยงาม

หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน  ส่องแสงระยิบระยับกัน สว่างไสวไปทั้งต้นลำพู  
เด็กน้อยแอบออกมา  ไล่คว้าแสงน้อยมาดู  
ใส่ไว้ในกล่องงามหรู  ซ่อนไว้ใต้หมอนแล้วนอนคอยฝันดี

ตื่นเช้าพอได้ลืมตามองเห็นคุณยาย
มาแกล้งถามว่าเจอะอะไรสนุกแค่ไหนที่ฝัน
ใจเด็กน้อยจึงทบทวน  ไม่ฝันเห็นอะไรมากมาย
รีบค้นเร็วไวใต้หมอนเปิดฝานั้นดู
หิ่งห้อยในกล่องตอนนี้เหมือนหนอนตัวหนึ่ง
  ไม่สวยดังซึ่งตอนอยู่ใต้ต้นลำพูส่องแสง
ยายจึงยิ้มแล้วสอนตาม จะมองเห็นความงามที่จริง
อย่าขังความจริงไม่เห็นอย่าขังความงาม

หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน  ส่องแสงระยิบระยับกัน สว่างไสวไปทั้งต้นลำพู
เด็กน้อยถือกล่องออกมา  เปิดฝาแล้วแง้มมองดู
หนอนน้อยในกล่องงามหรู  ก็เปล่งแสงสุกใสบินไปรวมกัน

เด็กน้อยนอนหลับสบายอมยิ้มละไม
ใต้หมอนไม่มีกล่องอะไร  ไม่มีสิ่งใดใดถูกขัง
นอนคืนนั้นจึงฝันดี ฝันเห็นดวงดาวมากมาย
ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง  ฝันแสนสวยงาม

ลัลลา   ลัลลา           ลัลลา   ลัลลา

คุณฐิติพงศ์  ศิริรัตน์อัศดร อายุ 27 ปี บอกว่า “ชอบเนื้อหามากๆ เนื้อหามันเป็นปรัชญาเลย แต่เป็นปรัชญาที่เข้าใจง่าย  ตอนนั้นเด็กๆฟังแล้วเราก็เข้าใจแล้ว  เกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติ  ความงดงามของธรรมชาติ  เราก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ  ตอนนั้นเราเข้าใจได้อย่างนี้   พอโตขึ้น ถามว่าเข้าใจเปลี่ยนไปหรือเปล่า  Concept ที่ตีความก็ใกล้เคียงเดิม เพราะยังไง ก็ยังเป็นเพลงที่ชอบมาโดยตลอด  ยังคง Classic อยู่เสมอ  เพราะเป็นเรื่องของปรัชญาที่มันเป็นความจริงอยู่ตรงนั้น เชื่อในเพลง”    
คุณกำพล  สมิทธารักษ์ อายุ 24 ปี บอกว่า “นิทานหิ่งห้อยเป็นเพลงที่ชอบมากเลย เป็นเพลงแรกที่ฟัง  อาจจะเพราะเป็นคนต่างจังหวัด เกิดที่เชียงใหม่  แต่เกิดไม่ทันรุ่นที่ต้นไม้มีหิ่งห้อยบินว่อน  คือรุ่นนี้หิ่งห้อยหายหมดแล้ว  จะบินมาก็ตัวสองตัว  พอฟังเพลงเห็นภาพ  เราไม่เคยเห็นแต่มันรู้สึกได้  เราเห็นภาพนะว่าต้นไม้ที่มีหิ่งห้อยบินทั้งต้นมันสวยแค่ไหน  เหมือนเป็นเหตุการณ์เสมือนจริง  มันไม่ได้พูดแค่หิ่งห้อย  แต่มันพูดถึงเด็กคนหนึ่งที่เค้ายึดติดกับวัตถุ  ถ้าเค้าจับสิ่งนั้นมา  เหมือนกับเค้ายังบ้ากับวัตถุที่คิดว่ามันจะให้ความสุข  ซึ่งตอนหลังยายเค้าก็ไม่ได้ด่าว่าหลาน   หรือให้เอาไปปล่อย  แต่ปล่อยให้ทำ  แล้วยายเค้าก็มาถามว่ามันเป็นยังไง  ซึ่งเมื่อเค้าไปปล่อยหิ่งห้อยแล้วเค้าก็รู้สึกเหมือนคนได้ทำดี  เหมือนว่าจริงๆแล้วสิ่งที่สำคัญมันอยู่ที่ใจไม่ได้อยู่ที่วัตถุ  คือเค้าไม่ได้สอนตรงๆ  ไม่ได้สอนให้น่าเบื่อ  แต่คนฟังแล้วมันอาจจะไม่รู้สึกว่าสอนก็ได้  เวลาเราทำเราจะไม่รู้สึกกว่าเค้าสอนเราทำไปเองเป็นไปโดยอัตโนมัติ  ทำให้ไม่ยึดติดกับสิ่งของมากกว่าจิตใจ”
 
 ซึ่งจากการที่ได้พูดคุยกับผู้ให้สัมภาษณ์  จะพบว่านิทานหิ่งห้อยเป็นเพลง เพลงหนึ่งที่มีคนชื่นชอบมาก  ถ้ามองลงไปที่เนื้อเพลงแล้วจะพบว่า  เนื้อเพลงเป็นเนื้อเพลงง่ายๆ เล่าเรื่องแบบนิทานเหมือนชื่อเพลง  แต่ผู้แต่งได้สอดแทรกเนื้อหาเอาไว้ในบทเพลงมากมาย  จากสองท่านที่ได้ให้สัมภาษณ์ว่าชอบเพลงนี้มาก  ยังมีการมองปรัชญาที่ได้จากบทเพลงไปได้ถึงสองแบบ  ทั้งที่เรื่องที่ได้อย่างง่ายๆ  แปลตรงตามเนื้อเพลง  ที่บรรยายถึงธรรมชาติที่งดงามเมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะสม อย่างที่คุณฐิติพงศ์กล่าว  หรืออย่างที่คุณกำพลบอกว่าได้ในเรื่องของปรัชญาของการไม่ยึดติดกับวัตถุ  เพิ่มมากกว่าความงดงามของหิ่งห้อยที่ถูกบรรยายผ่านบทเพลง   แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้แต่งเพลงใส่รหัสลงไปในบทเพลง  ผู้ฟังเพลงเป็นผู้ถอดรหัสหรือความหมายของบทเพลงนั้นๆออกมา  การที่ผู้ฟังถอดรหัสของเพลงนิทานหิ่งห้อย   ออกมาได้มากกว่าหนึ่งเรื่องย่อมแสดงว่า  ผู้แต่งเพลงมีเจตนาในการส่งเนื้อหาที่มากกว่าหนึ่งเรื่องลงไปในบทเพลงนั้น
ซึ่งผู้เขียนมองบทเพลงนิทานหิ่งห้อย  ว่ามีการสื่อความหมายมากมายสอดแทรกอยู่ในนั้น  การที่ผู้แต่งเพลงบรรยายถึง  ความงดงามของตามธรรมชาติของหิ่งห้อยเป็นการพยายามที่จะนำวิถีชีวิตของสังคมชนบทออกมาพูดให้คนทั่วไปได้ตระหนักถึง  ซึ่งในช่วงที่เพลงนี้ได้ถูกนำมาร้องนั้นธรรมชาติดังกล่าวก็แทบจะพบได้ยากในสังคมเมืองอยู่แล้ว  และการที่ผู้แต่งนำเด็กมาเป็นตัวเดินเรื่องทำให้เข้าถึงผู้ฟังได้ตรงจุด  เพราะทุกคนเคยเป็นเด็กและน่าจะต้องเคยมีความอยากรู้อยากเห็น เคยแอบทำอะไรที่ไม่แน่ใจ ว่าเป็นเรื่องที่ถูกหรือไม่  เคยอยากได้คำตอบจากผู้ใหญ่  และอาจจะเคยถูกผู้ใหญ่กีดกันความคิดตีกรอบให้คิด  ซึ่งในเพลงส่งคุณยายมาเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะอยู่ข้างๆแต่ไม่ชี้นำหรือปิดกั้นความคิด  ตรงนี้เป็นการสอนผู้ใหญ่ให้รู้จักมองวิธีคิดของเด็ก  และสอนเด็กให้เห็นความสำคัญของผู้ใหญ่ในบ้าน  ความอบอุ่นแบบครอบครัวไทยแท้ๆ  ในขณะเดียวกันยังคงไว้ในเรื่องของปรัชญาเกี่ยวกับชีวิตจริงๆ  การมองความงามโดยไม่ปิดกั้น กักขัง ความงามนั้น หรืออาจจะตีความถึงการยึดติดกับวัตถุอย่างที่คุณกำพลกล่าวไว้  ซึ่งผู้เขียนคิดว่าผู้แต่งต้องการที่จะแต่งเพลงเพื่อต้องการให้ผู้ฟัง  ตระหนักถึงเรื่องราวรอบๆตัว  มองทุกเรื่องอย่างเปิดใจ  โดยไม่ได้ปิดกั้นหรือกะเกณฑ์ว่าผู้ฟังต้องคิดอย่างนั้นอย่างนี้ให้ไปในทางเดียวกัน   เพื่อเป็นการให้ผู้ฟังมีการต่อยอดทางความคิดกับบทเพลงนี้ออกไปอีก
นอกจากเพลงนี้แล้วยังคงมีเพลงอื่นๆอีกคือ


เพลงต้นชบากับคนตาบอด

ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ
จับดวงใจแม้ใครบังเอิญได้เดินมองมา
อาจจะพบเห็นเห็นด้วยตาด้วยตา  
ต้นชบาขึ้นในโรงเรียนสอนคนตาบอด
ไม่อาจชมดอกชบา              
ด้วยดวงตาสองตามีกรรมโลกจึงมืดมน
ไม่อาจพบเห็นเหมือนบางคนว่า
ดอกผลนั้นมีสีสันรูปทรงอย่างไร

*บอดก็เพียงสายตาเท่านั้น แต่จิตใจก็ยังผูกพันความงาม
อาจจะรับรู้ไปตาม สูดกลิ่นงามฟังเสียงวิไลร่มไม้บังเงา

ต่างก็เพียงผู้จะชม
สิ่งจะชมสำคัญในมันนั้นคืออันใด
เหตุกับผลนั้นหรือว่าใจ
ต้นชบาก็มีความหมายไปตามคนมอง
สิ่งจะงามอยู่กับใจ  บอดที่ใจ
เห็นไปอย่างไรไม่มีวันงาม
โลกจะสวยนั้นสวยไปตามจิตที่งาม
มองโลกสดใสไปในทางดี    

จากบทเพลงต้นชบากับคนตาบอดผู้ที่ชื่นชอบได้แสดงความคิดเห็นไว้ดังนี้
คุณ ชายตาบอด (นามแฝง) อายุ 30 ปี กล่าวไว้ว่า “สิ่งเล็กน้อยแค่ต้นชบา ใครว่าไม่มีความหมาย เฉลียงก็ค้นหาความหมาย ออกมาเล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้ แถมเล่าได้น่ารักน่าฟัง ฟังสบายระรื่นหูมาก สำหรับคนตาบอด ถึงแม้จะมองไม่เห็นอะไร ก็ไม่เห็นด้อยโอกาสกว่าคนอื่นที่ตรงไหนเค้าสามารถชื่นชมดอกชบาได้ยิ่งกว่าบางคนที่มีตามองเห็นมันด้วยซ้ำ”

คุณฐิติพงศ์  ศิริรัตน์อัศดร อายุ 27 ปี กล่าวว่า “เพลงนี้ต้องตีความนิดนึงเลยนะ แรกๆอาจจะไม่เข้าใจ ตอนเด็กๆฟังว่าเพราะอย่างเดียว ต้นชบากับคนตาบอดตอนนั้นพอฟังไปเรื่อยๆ เราได้ IDEA อะไรมากขึ้น เพลงนี้ต้องผ่านการตีความ โตขึ้นเราจะเข้าใจว่าสังคมมันจะมีความหลากหลาย อย่างในเพลงเค้าก็จะบอกว่าคนตาบอดเค้าจะมีความสุข ความสวยงามในแง่ของเค้า ต่างคนต่างมีมุมมองของตนเอง อย่าเอาตัวเองไปตัดสินใคร”

คุณอัญชลี  วงสว่างพาณิชย์ อายุ 31 ปี กล่าวถึงเพลงนี้ว่า “เพลงนี้มีความชัดในเนื้อเพลงอยู่แล้ว ชอบความหมายมาก เนื้อหาก็ดี”

จากการสัมภาษณ์ จะพบว่าการถอดรหัสของผู้ฟังจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะเนื้อหาของเพลงค่อนข้างจะชัดเจนอยู่แล้ว เหมือนที่คุณอัญชลีกล่าวไว้ ในขณะเดียวกันความหมายแฝงที่คุณฐิติพงศ์พูดถึงสำหรับเพลงนี้   เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะตีความยากเพราะถูกความไพเราะของเนื้อเพลงและเนื้อหาที่เข้าใจตรงๆตั้งแต่แรกปังไว้อย่างแยบยล

ผู้เขียนมองว่าการที่ผู้แต่งยกประเด็นเรื่อง ต้นชบาที่ขึ้นอยู่ในโรงเรียนสอนคนตาบอดขึ้นมาพูดถึงนั้น  เป็นการยกเหตุการณ์ขึ้นเพื่อถ่ายทอดความหมายที่สำคัญกว่านั้น  ต้นชบาเป็นสัญลักษณ์แทนเรื่องใดๆสักหนึ่งเรื่องที่อาจจะเป็นที่ถกเถียงกันในสังคม  โรงเรียนสอนคนตาบอดน่าจะเป็นสถานที่ที่สังคมมองว่าเป็นที่สัมผัสไม่ถึง  ผู้คนที่อยู่ในสถานที่หรือเมืองดังกล่าวเป็นบุคคลพิเศษที่ไม่เหมือนสังคมเดียวกับเรา   อาจจะด้อยโอกาสกว่า  ทำให้คนในสังคมชอบมองเรื่องเหล่านั้นว่าสังคมของเราเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน  ว่าถูกหรือผิด  โดยลืมมองไปว่าจริงๆแล้วบุคคลในสังคมที่ต่างไปจากเราก็มีโอกาสที่ตัดสินเรื่องเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง  และอาจจะมีมุมมองที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้   เหมือนที่คุณฐิติพงศ์พูดไว้ว่า  “ทุกคนล้วนมีมุมมองเป็นของตัวเอง อย่าเอาตัวเองไปตัดสินใคร” ซึ่งเหมือนเป็นการสอนในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลไปในตัว หลายๆคนชอบเพลงนี้ที่เนื้อหา ฟังแล้วกินใจ บอกเราได้อย่างเห็นภาพและที่สำคัญมุมมองที่ถูกนำเสนอเกี่ยวกับความสำคัญของสิ่งใดๆ ย่อมขึ้นอยู่กับการมองของคนนั้นๆ ต่างสังคม, ต่างวัฒนธรรมก็ย่อมมีวิธีการมองที่ไม่เหมือนกัน

สำหรับเพลงต่อไปที่ผู้ให้สัมภาษณ์เลือกคือ

เพลงนายไข่เจียว

(เขาหิวครั้งใด) ฉันเดินเข้าครัว
(เขาหิวเขาทำ) ฉันนั้นทำเอง
(เขาหิวเขาทำ) ทำเป็นอย่างเดียวไข่เจียวนั้นง่ายทำบ่อย
(แค่เพียงน้ำมันวางลงบนเตารอไฟให้ร้อน)
เหลืองไข่เหลืองและหอมกรุ่นฟูฟูดูน่ากิน
(อาหารแสนโปรด) ฉันทำไข่เจียว
(หุงหากินเอง) ฉันนั้นทำเอง
(แล้วชักแล้วชวน) ใครชิมใครชมใครดมก็ชมกันทั่ว
(แค่เพียงน้ำมันวางลงบนเตารอไฟให้ร้อน)
ถึงกระนั้นก็ทุกคนทำเป็นน่ะไข่เจียว

*(ขอถาม) เขาถาม (ขอถามเขา เขาเติมอะไรใส่) ฉันเติมอะไรลงไปในไข่
(เขาตอบ) ขอตอบ (ใส่ความตั้งใจนั้น) และแสนสำคัญจริงใจกับไข่

(ชีวิตเขานั้น) ฉันทำอย่างเดียว
(เขาฝนเขาฝึก) ฉันฝนทุกวัน
(ร้านเล็กนิดเดียว) ทำเพียงไข่เจียวอย่างเดียวก็มีคนสั่ง
(แค่เพียงน้ำมันวางลงบนเตารอไฟให้ร้อน)  
ทุกที่ทุกแห่งรู้จักคนดังนายไข่เจียว

(ร้านเขาร้านใหญ่) ขายเพียงไข่เจียว
(รับทรัพย์ทุกวัน) และรับรางวัล
(เขาสอนนักเรียน) เปิดเป็นโรงเรียน โรงเรียนสอนการเจียวไข่
(แค่เพียงน้ำมันวางลงบนเตารอไฟให้ร้อน)
ฉันต้องรับต้องรับมาปริญญาทางไข่เจียว
(วางลงบนเตารอไฟให้ร้อน)
แม้สิ่งนั้นจะนิดเดียว….เดียว….เดียว….เดียว….

เพลงนี้ถูกนำมาร้องซ้ำโดย วงอคาเป-ล่า เซเว่น จึงทำให้เป็นที่รู้จักอีกครั้ง  
โดยคุณเมทินี  ทิลาวงศ์ อายุ 21 ปี กล่าวว่า “ฟังเพลงแล้วเห็นภาพมากๆ ฟังแล้วอยากกินไข่เจียวมาก และที่สำคัญฟังแล้วอยากทำไข่เจียวให้คนอื่นกิน”
ในขณะที่คุณอัญชลี  วงศ์สว่างพาณิชย์  อายุ 31 ปี กล่าวว่า “เมื่อฟังเพลงนี้แล้วเคยคิดอยากเปิดร้านที่ขายแต่ไข่เจียวเหมือนในเพลง ในขณะที่ฟังเพลงแล้วกลับมีกำลังใจในการที่จะตั้งใจทำในสิ่งที่ตัวเองฝัน เคยคิดว่าถ้าเราตั้งใจมันคงสำเร็จนะ “  
คุณศิรกุล   ลพสุนทร  อายุ 24 ปี บอกว่า “รู้สึกว่า เออ…เฉลียงก็มีเพลงเกี่ยวกับของกินหลายเพลงเหมือนกันนะ แค่ไข่เจียวก็เอามาเขียนเป็นเพลงได้ ฟังแล้วเห็นภาพไข่เจียวฟูๆ เหลืองๆ ดูน่ากิน อยากทำไข่เจียวเลย”
ซึ่งจากการสัมภาษณ์จะพบว่า  คนส่วนใหญ่ชอบเพลงนี้เพราะความสนุกสนานของเนื้อร้องและทำนอง  การใช้คำง่ายๆ  แต่สามารถสร้างภาพให้คนฟังคล้อยตามได้  ว่าการทำไข่เจียวธรรมดาๆนั้น  ถ้าทำให้ดีก็สามารถประสบความสำเร็จได้   เป็นการแฝงปรัชญาในเรื่องความพยายาม  ความตั้งใจในสิ่งที่ทำ  แล้วความสำเร็จก็จะมาถึง   เหมือนเนื้อเพลงที่ว่า  
*(ขอถาม) เขาถาม (ขอถามเขา เขาเติมอะไรใส่) ฉันเติมอะไรลงไปในไข่
(เขาตอบ) ขอตอบ (ใส่ความตั้งใจนั้น) และแสนสำคัญจริงใจกับไข่

ประโยคดังกล่าวเป็น Key Word ของเพลงเลยทีเดียว ความตั้งใจและจริงใจกับเรื่องที่ทำ เรื่องที่ฝัน ย่อมจะเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จได้ในสักวัน และเป็นแรงบันดาลใจให้เราหันกลับมามองเรื่องราวใกล้ตัว   ด้วยใจที่เปิดกว้างมากกว่าที่เคย แม้จะเป็นเรื่องนิดเดียว แต่ถ้าเราไม่มองข้ามมันอาจจะกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญกับชีวิตได้ การมองถึงเรื่องที่ผู้แต่งต้องการเล่าออกมา เป็นการถอดรหัสทางความคิด ส่วนใครจะได้อะไรบ้างนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ที่พื้นฐานการรับรู้ของแต่ละบุคคล
สำหรับเพลงต่อไปที่ถูกหยิบมาพูดถึงคือ

เพลงรู้สึกสบายดี

ร้องเถิดร้องเพลง   ถ้าอยากร้องจงร้องไป  
ร้องเถิดร้องไห้   ถ้าได้ร้องแล้วลืมมัน
เผลอไปรักใครเขาไม่รักไม่ยักมัน  
แล้วก็แล้วกัน  บอกว่าตัวฉันสบายดี
เศร้าเสียใจสนุกตรงไหนเสียน้ำตา…..
ใช้เวลาเศร้าให้น้อยๆก็คงดี
ฟ้าก็แสนไกลจ้องตรงไหนก็โสภี  
ดูซิดูซี….ว่าโลกใบนี้ช่างดีจัง

* ผู้คนมากมายก่ายกองจ้องมองตั้งใจจะมองหา   รอถึงเวลาจะไขว้จะคว้าทำความดี
แต่ใครเล่าใครจะไปตั้งใจอะไรจะมาชี้   คนเรียกคนดี  ติดที่เค้าเอาใจใคร

ฟ้าสีครามเมฆปุยขาวมีสองปุย  
สวยทั้งสองปุยอยู่ที่เขาที่เราคุย
ฟ้าที่แสนงามแขวนเมฆขาวเป็นร้อยปุย  
ปุยทุกปุยปุยจะสดสวยเพราะเราดู
ถนนสีเทาเขม่าควันพิษก็สีเทา  
หิวก็หาเอาป่วยตัวร้อนก็นอนไว
เหงาก็พบคนโลกสับสนมีเยอะไป  
เพลียก็ตรงไปเก็บโลกสดใสไว้บนเตียง
(ซ้ำ*)  

  คุณกำพล  สมิทธารักษ์ อายุ 24 ปี กล่าวถึงเพลงนี้ว่า “เพลงก็ไม่มีอะไร  แต่คือมันดีแบบว่าร้องก็ร้องไป  เศร้าก็ร้องไห้  อยากจะร้องเพลงก็ร้อง  คือประมาณว่าโลกมันก็ยุ่งแล้ว เราอย่าไปเครียสกับมันมาก  อย่าไปยึดติด  อะไรปล่อยได้ก็ปล่อย  มันคือเพลงที่แบบว่าเวลาเราร้องแล้วทำให้เรายิ้มได้จริงๆ  คือโดยคำพูดมันต้องยิ้ม  เวลาเราร้องเราก็ยิ้มออกมาเอง  แล้วมันจะรู้สึกสบายจริงๆ   ซึ่งมันได้แง่คิดเยอะ แทนที่เรามีปัญหาอะไรจะมานั่งโทษนั่นโทษนี่  เราก็ควรจะปล่อยๆกันไป  แล้วมันจะผ่านไปเอง “

ส่วนคุณเมทินี  ทิลาวงศ์ อายุ 21 ปี กล่าวว่า “เพลงมันสนุก ฟังแล้วสบายใจจริงๆ ทำให้คิดได้ว่าจริงๆเราอยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่ต้องแคร์อะไรมาก”

ซึ่งจากการสัมภาษณ์ ผู้เขียนจะพบว่าการที่คนชอบเพลงนี้  จะค้นพบปรัชญาของการดำเนินชีวิตที่ง่าย  แต่มีความสุข  เนื้อเพลงพยายามจะอธิบายว่าในความเป็นจริงแล้ว  การใส่ใจกับเรื่องที่ไม่ดีที่เข้ามาในชีวิตมากเกินไป  ไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นมาได้  แต่หากเรามองให้ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ผ่อนคลาย  เพื่อที่จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่อีกครั้ง  ย่อมเป็นการสร้างกำลังใจให้ตัวเองได้เป็นดี เหมือนที่คุณกำพล กล่าวว่า “อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยไป   แล้วมันจะผ่านไปเอง”  ผู้เขียนมองว่าผู้แต่งกำลังต้องการสื่อให้ผู้ฟังมีกำลังใจในการใช้ชีวิต  หลายปัญหาอาจจะยังหาทางออกไม่ได้  แต่ถ้าเราค่อยๆมองไปทีละเรื่อง  พักให้หายเหนื่อย  แล้วค่อยๆเตรียมตัวรับปัญหา  และแก้ปัญหาไปทีละเรื่อง  มันคงจะดีกว่าลุกขึ้นมาตีโพยตีพาย  แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น   ประกอบกับทำนองที่สนุกสนานทำให้เพลงฟังสนุกไปด้วย  และทำให้เข้าใจง่ายด้วยคำพูดที่ง่ายๆแต่ชัดเจน  ผู้เขียนมองว่าการประสบความสำเร็จของเพลง  คือการที่ผู้ฟังสามารถเข้าถึงเรื่องราวในบทเพลงได้ง่ายนั่นเอง

สำหรับเพลงอื่นๆที่ผู้ให้สัมภาษณ์เลือกมาคือ

เพลงอยากมีหมอน
อยากมีหมอน  อยากมีหมอน  อยากมีหมอนไว้นอนเล่น
เผื่อกลับมาเวลาเย็น จะได้เล่นเกมง่วงนอน
หากมีหมอน  ก่อนนอนหนุน
ก่อนนอนหนุน  ดูนุ่นก่อน
นุ่นที่หนานั้นน่านอน จะผ่อนคลาย
แต่จะให้ดี  ต้องมีสีต้องมีสัน  

ปักลวดลายรูปพระจันทร์ รูปตะวัน  รูปสัตว์เลี้ยง  รูปมนุษย์  รูปน้ำใจ

* แหละชีวิต ต้องผิดหวัง ต้องผิดหวังพลั้งไปได้  
อาจสมหวังได้ดังใจ  ทุกสิ่งไปไม่แน่นอน

  หยุดชีวิต  ที่ผิดหวัง  ที่ผิดหวังยั้งไว้ก่อน
เหนื่อยมันนัก  พักลงนอน
อยากมีหมอน  อยากนอนหนุน นุ่นที่หนา

คุณอัญชลี  วงสว่างพาณิชย์  อายุ 31 ปี กล่าวว่า “เพลงนี้เป็นเพลงที่นึกถึงเป็นอันดับแรกๆเลย มันฟังแล้วผ่อนคลาย ง่วงนอน สบาย มันเหมือนว่าคนเราไม่ต้องเอาอะไรมากมาย แค่อยากไปเที่ยว อยู่ว่างๆคนเดียว ก็มาเล่นเกมง่วงนอน มันเหมือนได้พัก มีที่พักว่างั้นเถอะ”
ส่วนคุณฐิติพงศ์  ศิริรัตน์อัศดร  อายุ 27 ปี กล่าวว่า “เพลงนี้ก็ชอบ มันรู้สึกเหมือนว่าชีวิตต้องได้นอน ได้พัก ฟังแล้วอยากนอน การที่เพลงบอกว่าหมอนต้องมีปักลวดลาย ต่างๆ เราว่ามันเป็นปรัชญานะ ว่าจริงๆเราต้องการอะไรบ้าง”

จากการสัมภาษณ์ทั้ง “คนรุ่นเฉลียง” และ เด็กรุ่นใหม่ จะพบว่าผู้ที่ชอบเพลงนี้มักจะเป็นคนรุ่นเฉลียง  เด็กรุ่นใหม่บางคนไม่เคยได้ยินเพลงนี้ด้วยซ้ำ  อาจจะเพราะเป็นเพลงที่ไม่ได้ถูกนำกลับมาร้องใหม่เลยไม่เป็นที่รู้จัก  จะมีเพียงคุณ กำพลที่รู้จัก แต่ไม่ได้ชื่นชมเป็นพิเศษ  และจากที่สัมภาษณ์ จะพบว่าผู้ที่ชอบเพลงนี้ มีความรู้สึกคล้ายคลึงกัน  คือรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายที่ได้รับจากเพลง  ประกอบกับทำนองที่ชวนง่วง ยิ่งทำให้อารมณ์ของเพลงชัดเจนยิ่งขึ้น  หากจะวิเคราะห์ถึงเนื้อหาของเพลง  จะพบว่าผู้แต่งใช้คำซ้ำๆกันเพื่อตอกย้ำให้รู้ว่าอยากมีหมอนจริงๆ  แต่มีหมอนเพื่ออะไร  จริงๆแล้วหากจะพูดว่าอยากมีหมอนเพราะอยากนอนคงเป็นเรื่องที่สามรถจับได้จากเนื้อเพลงตรงๆอยู่แล้ว  แต่สำหรับผู้เขียนมองว่า การที่ผู้แต่งบอกว่าอยากมีหมอน แสดงว่าผู้แต่งต้องการบอกว่าคนเราต้องการการพักผ่อน   ไม่ว่าจะเป็นหลังจากเสร็จจากเรื่องงาน  “เพื่อกลับมา เวลาเย็น  จะได้เล่นเกมง่วงนอน”   เป็นการสื่อว่าเสร็จจากการทำงานแล้วเราควรให้เป็นเวลาพักผ่อนบ้าง  อีกทั้งเวลาเรามีปัญหาอะไร  ที่ทำให้รู้สึกผิดหวัง  ถ้าเราปล่อยให้อยู่กับที่ไปชั่วขณะ  โดยเราหันกลับมาพักผ่อนซะก่อน  มันอาจจะดีขึ้นก็ได้  เป็นเพลงที่ทำให้รู้สึกได้ว่าผู้แต่งแอบแผงการเตือนสติ  ถึงการใช้ชีวิตที่ไม่แน่นอนแต่ควรทำใจให้เป็น  อีกเรื่องที่ผู้แต่งพยายามเสนอผ่านเพลงคือเรื่องของ  ความต้องการภายในใจคนเราว่ามีความต้องการลึกๆอย่างไรบ้าง    
ก่อนนอนหนุน  ดูนุ่นก่อน
นุ่นที่หนานั้นน่านอน จะผ่อนคลาย
แต่จะให้ดี  ต้องมีสีต้องมีสัน  
ปักลวดลายรูปพระจันทร์ รูปตะวัน  รูปสัตว์เลี้ยง  รูปมนุษย์  รูปน้ำใจ
แสดงว่านอกจากการต้องการการพักผ่อนแล้ว  คนเรายังต้องมีองค์ประกอบอื่นๆด้วย เช่นว่า หมอนที่นอนต้องมีนุ่นที่หนา  คือเรายังคงต้องการความสบายให้กับชีวิต  เรื่องความนุ่มสบายเป็นลักษณะความสบายภายนอก  ส่วนความสบายภายในใจ ก็สื่อออกมาโดยการบอกว่าหมอนต้องมีสีสันสวยงาม  มีลายปักรูปต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นรูปพระอาทิตย์ ภาพพระจันทร์ ภาพสัตว์เลี้ยง ภาพคน  และภาพน้ำใจ  สามอย่างแรกแสดงถึงความสุนทรีของมนุษย์ ว่ายังอยากมองฟ้าเวลากลางวันแล้วเห็นพระอาทิตย์  อยากมองพระจันทร์เวลากลางคืนที่สวยงาม   อยากมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน  เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานจริงๆ  ส่วนภาพคน และ ภาพน้ำใจ  เป็นการแสดงความโหยหาน้ำใจจากเพื่อนมนุษย์  อาจจะเป็นด้วยสังคมที่เปลี่ยนไปจากอดีต  ทำให้คนต่างคนต่างอยู่กันมากขึ้น  ความเอื้ออาทรต่อกันน้อยลง  ผู้แต่งเลยสอดแทรกเรื่องน้ำใจของคนลงไปในเพลง  
และองค์ประกอบทั้งสองส่วน ในเรื่องของการต้องการความสบายทั้งภายนอกและภายใน  เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะให้เราพักผ่อนได้เต็มที่  จึงอยากมีหมอนในอุดมคติอย่างเช่นที่เพลงได้กล่าวไว้  เหมือนที่คุณอัญชลี กล่าวว่า”ชีวิตเราไม่ได้ต้องเอาอะไรมากมาย แค่ได้มีที่พักก็พอแล้ว”
อีกเพลงที่ผู้ให้สัมภาษณ์พูดถึง เป็นเพลงในยุคหลัง  คือเป็นเพลงประกอบคอนเสิร์ตเรื่องราวบนแผ่นไม้ เมื่อปี 2543 คือ

เพลงย้ำคิดย้ำฝัน

ไม่เกี่ยวกับรอบเอว  ไม่เกี่ยวกับหางตา
ไม่เกี่ยวกับคืนวันที่ผ่านไปจะอ่อนใจจะเพลียจะเหนื่อยล้า  
ถ้ายังอยากหาโลกในใจ  ให้มันเจอ

ไม่เกี่ยวกับเรี่ยวแรง  ไม่เกี่ยวกับบ้านไกล
ไม่เกี่ยวกับดวงดาวที่แวววาวสุกสกาวจะจริงแค่ไหน
ไม่เลยไม่สายที่จะฝัน
คนคนหนึ่งเคยยืนมองไปบนฟ้าอันกว้างใหญ่
วันเวลาเวียนไปก็ยังมองฟ้าตรงที่เก่า
ใครจะมองว่าเราเป็นคนชอบย้ำก็ช่างเขา
คงมีดาวบางดวงรอเรามองซ้ำบ้างใช่ไหม
ให้ย้ำมันต่อไป  ให้ฝันมันต่อไป

(ถึงมัน) จะหงอกก็ช่างมัน อย่าหยุดก็แล้วกัน
จะเปลี่ยวจะเดียวดายไม่มีใครอยู่เคียงกายสักคนหนึ่งนั้น
ให้ใจมีฝันอยู่เคียงใจ

……………..เพราะมัน……….……..

(ซ้ำทั้งหมด)

คุณอัญชลี  วงศ์สว่างพาณิชย์  อายุ 31 ปี กล่าวถึงเพลงนี้ว่า “ชอบเพลงนี้  มันเข้ากับช่วงวัยตอนนี้  เราเป็นคนฟังเพลงเฉลียงมาตั้งแต่วัยรุ่น  มาถึงตอนนี้  เพลงนี้เหมือนเค้าคิดถึงแฟนๆ  คิดถึงคนฟัง  คนที่ฟังเค้าเป็นอีกกลุ่มที่อาจจะคิดแปลกๆจากคนอื่นนิดนึง   แฟนกลุ่มนี้โตขึ้นมาจะคิดอย่างไร  เราคิดอย่างที่ทำได้หรือเปล่าไม่รู้   คือยังอยากให้ยึดมั่นในความคิด  คิดดีทำดี  อย่าหวั่นไหวกับอะไร  มันเป็นตัวแทนของคนยุคเก่าที่ฟังเฉลียงมาตลอด  ตอกย้ำ….ย้ำให้คงอยู่ คิดเหมือนเดิมนั้นอยู่   คนที่ฟังบางครั้งพออายุเกิน 30 พออายุมากความกระตือรือร้นมั่นใจในตัวเองมันหายไป  ชีวิตที่ยังไม่สมบูรณ์  ไม่เหมือนชาวบ้าน  ทำให้ท้อแท้  เพลงมันตอกย้ำว่าไอ้ที่คิดที่ทำ มันไม่เกี่ยวกับตัวเรา ไม่เกี่ยวกับอายุ  ให้ฝันไว้ต่อไป  เป็นเพลงที่เหมาะกับคนที่ฟังมาตั้งแต่เด็ก  คนรุ่นใหม่คงยังไม่อิน   ถ้าเรายังไม่ได้ไปตามที่ฝัน  บางทีวัตถุนิยมมากเกินไป  ฟังเพลงแล้วย้อนมองว่า เมื่อก่อนคิดอย่างไร  คิดถึงอดีต  คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ  ทำให้คิดถึงสมัยเรียนแล้วมีเพื่อนชอบเหมือนกัน  คิดถึงบรรยากาศในห้องเรียนสมัยก่อน….ดี…คิดถึงคนที่มีอุดมคติในแนวทางเดียวกัน”

คุณอัญชลีเป็นตัวแทนคนรุ่นเฉลียงที่มีความคิดเห็นต่อเพลงนี้  ได้ชัดเจนมาก  คุณอัญชลีมองว่าเพลงย้ำคิดย้ำฝัน  เป็นเพลงที่เฉลียงแต่งขึ้นเพื่อแฟนเพลงจริงๆ  ให้มีกำลังใจในการใช้ชีวิต  ผู้เขียนมองว่าเพลงของเฉลียงส่วนมากเป็นเพลงที่พูดถึงความฝัน  โลกความจริงในแง่ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป  เป็นการจับสิ่งเล็กๆน้อย ในเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกมาพูด  ทำให้คนที่เติบโตมากับบทเพลงเฉลียง  มีวิธีการมองโลกอีกแบบ  เพลงนี้จึงเป็นการต่อเติมวิธีการมองโลกที่ผ่านมานาน  ว่าอย่างไรเสียการมองโลกในแง่ของเฉลียงยังคงเป็นเรื่องที่ทุกคนยังคงมองได้อยู่   ไม่เกี่ยวว่าจะอายุมากขึ้นหรือไม่  ทุกคนยังมองโลกในแง่เดิมได้  เป็นการตอกย้ำความคิด ความฝันของทุกคน

อย่างไรก็ตามเฉลียงยังคงมีเพลงรักที่เป็นที่ชื่นชอบของคนอยู่หลายเพลง เช่น      

เพลงแค่มี

*ถามเธอเพราะใจเฝ้าคอยเธออยู่ รู้ดีว่าเราอาจจะมีน้อยไป
หวังเพียงบางทีเผื่อเธอจะเข้าใจ  ในสิ่งที่ฉันมี

เก็บออมทำงานไม่รั้งรอ  พ่อก็ไม่รวยสักที
เล่นกีฬาเป็นแต่ไม่ดี  กล้ามฉันไม่ค่อยมี

สองมือแขนมี  แต่ไม่มีกล้าม
ทุกยามไกวเปล  หากเธอง่วงนอน
แขนวางปลอมตัวต่างเป็นหมอนก่อน
เผื่อเธอจะฝันดี

**กับจะมีห่วงใยมาให้เธอ หากเจ็บป่วยเวียนหัว
มีมือมือคอยแตะตัว  อยากให้เธอหายดี

***หัวใจก็มีแต่เพียงดวงหนึ่ง ถึงน้อยไปไม่เคยแบ่งใครนะเออ
แม้มันมอมแมมเปรอะไปจะให้เธอ  หมดเลยที่ฉันมี
(ซ้ำ**/***/***/*/***)

คุณฐิติพงศ์   ศิริรัตน์อัสดร อายุ 27 ปี กล่าวถึงเพลงไว้ว่า “ เป็นเพลงรักที่มีเนื้อหาน่ารัก  มันเป็นเพลงรักที่ไม่ใช่เพลงรักแบบพระเอก  เป็นเพลงรักแบบบุคคลทั่วไป  เราเป็นคนธรรมดา  หน้าตาไม่หล่อ  พ่อไม่ได้รวย  รู้สึกว่ามันใกล้ตัวเรา  เพลงอื่นมันจะรู้สึกเป็นระดับใหญ่ไป  แต่นี่เค้าดูน่ารักกว่า  พอโตขึ้นก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า  เรามองความรักเป็นมิติที่ซับซ้อนมากขึ้น  อย่างตอนเด็กๆเราก็มองแค่ว่า  เราไม่หล่อเท่านั้นเอง  แต่พอเราโตขึ้น  เราก็เข้าใจเนื้อเพลงมากขึ้น  ว่าจริงๆมันมีปัจจัยอื่นมากขึ้น  ที่เค้าบอกว่าพ่อไม่รวยที่จริงมันก็เกี่ยวนะ ”

เพลงแค่มี เป็นเพลงรักเพลงหนึ่งของวงเฉลียง  ที่ได้รับความนิยมในขณะนั้นเป็นอย่างมาก  โดยเนื้อเพลงแล้วจะพบว่า  การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมีความรักให้หญิงสาว  เค้าก็แค่มีในสิ่งที่เค้ามี  แต่เป็นสิ่งที่เค้าให้ได้ทั้งหมดที่มีกับเธอ  อย่างที่คุณฐิติพงศ์ กล่าวไว้ว่า “มันเป็นเรื่องใกล้ตัวในขณะนั้น”  ด้วยเนื้อร้องที่ง่ายๆ สื่อความหมายตรงๆ ประกอบกับเนื้อหาที่คนธรรมดาสัมผัสได้  ทำให้เพลงนี้เข้าถึงบุคคลได้โดยง่าย  ในขณะเดียวกันเนื้อเพลงยังแสดงให้ทราบลักษณะวิถีชีวิตของคนไทยที่ติดกับค่านิยมในการเลือกคู่ที่ซ่อนอยู่  ผู้แต่งย่อมมีความรู้สึกอยู่ในใจว่าการที่หญิงสาวจะเลือกคู่น่าจะเลือกรักคนที่มีความพร้อมทั้งในด้านฐานะ หน้าตา หรือความดูเป็นนักกีฬา  จึงเขียนเนื้อเพลงเป็นเชิงตัดพ้อว่าถ้าเค้ามีอยู่แค่นี้  จะรักเค้าได้ไหม  แต่ก็ยืนยันว่าแค่ที่มีจะทำให้ดีที่สุด  ซึ่งความหมายตรงนี้ คุณฐิติพงศ์บอกว่า โตขึ้นแล้ว  จึงเข้าใจว่าในเนื้อเพลงมันหมายถึงอะไร  มันไม่ใช่แค่เพลงรักธรรมดาๆ

เพลงรักอีกเพลงที่ถูกพูดถึงมากคือ

เพลงไม่คิดถาม

คิดก็ยังไม่เคย  ไม่เคยคิดเลย
ถามออกไปก็เชย  อย่างเคยรู้กัน
ก็เพียงมองตาเธอให้ดี  ย่อมรู้คำตอบ
กับคำถามว่ารักเราบ้างไหม
ได้ยินแล้วเธอคงแปลกใจ

*ถึงอย่างไรฉันมีจิตใจเหมือนกัน   แม้ไม่มีสักคนจะมาสนใจ
ก็ยังดีมีเธอไว้คนเพื่อฝัน   ได้แค่ฝันเอียงๆข้างเดียวก็เอา

ฉันไม่เคยคิดถามว่ารักฉันอยู่บ้างไหม
รู้คำตอบในใจแน่แท้เธอไม่แลเหลียว
ก็รู้ใจอยู่ว่ารัก  รักเธอข้างเดียว
อย่าเลย  อย่าถาม

คิดก็ยังไม่เคยไม่เคยคิดเลย  ถามออกไปก็เชยอย่างเคยรู้กัน
แต่ยังมีคำถามในใจ  เก็บไว้ในใจ   เคยคิดเคยรังเกียจฉันหรือเปล่า    

และอีกเพลงที่มีการพูดถึงคือ

เพลงยังมี

เธอเคยบอกว่าเธอไม่มีแม้ใครสักคนหนึ่ง
คงลืมว่าอย่างน้อยยังมีฉันไง
วันใดที่เธอมีเพื่อนรุมล้อมหรือยังมีใคร
เธอก็จะไม่เห็นฉันเลยคนดี
แม้วันใดหัวใจเธอพ่าย  จะมาแพ้ไปกับเธอ
และถ้าวันใดน้ำตาเธอเอ่อ  จะร้องไห้เป็นเพื่อนกัน

* หากเธอสมหวัง…ในวันหนึ่ง ให้รู้ว่าฉันยังแอบเห็นและชื่นชม  
หากเธอท้อแท้….ฉันยังอยู่   หากแม้นไม่เห็นฉัน
(จงโปรดรู้ไว้ว่าเธอใช่อยู่คนเดียว)   (จงโปรดรู้ว่ายังมี….)

(ซ้ำทั้งหมดอีกครั้ง) (ซ้ำ*)

คุณกำพล  สมิทธารักษ์  อายุ 24 ปี กล่าวถึงเพลงทั้งสองว่า “ โดย THEME ของเพลงแล้วมันเหมือนกันเลย  คือเค้าจะดูอยู่ห่างๆ  เค้าไม่ได้หวังว่าผู้หญิงจะรักเค้า  เวลาผู้หญิงมีความสุข  ก็อาจจะไม่เห็นเค้า  ไม่รู้ว่าเค้าอยู่ใกล้ๆ  คือเวลามีความสุขเนี่ย เออ…ฉันอยู่ตรงไหนก็ได้  เธอไม่ต้องห่วง  แต่เวลาที่เธอมีปัญหา ฉันก็จะโผล่มา คือมันเป็นรักแบบว่ามันทำได้ยาก  คือใครจะเสียสละได้ขนาดนี้  ที่แบบไม่ต้องการเค้า แต่ขอดูอยู่ห่างๆ  ไม่ได้หวังอะไร  แค่เห็นเค้ามีความสุขก็พอใจ ฟังแล้วมันดี  ดีกว่าฟังเพลงแบบเค้าไม่รักเรา ฝนตกก็ต้องร้องเพลง เอาฝักบัวเปิด  มันงี่เง่า  มันอาจจะดูอุดมคติแต่ฟังแล้วรู้สึกดี สมมติเราเป็นผู้หญิง แล้วมีผู้ชายรู้สึกแบบนี้กับเรา  ถ้าเรารู้เราคงรู้สึกดีมากๆ  พยายามจะทำให้ได้อย่างเพลง  พยายามอยู่ เออ…ไม่เป็นไรนะ”

สำหรับคุณศิริกุล  ลพสุนทร  อายุ 24 ปี กล่าวถึงเพลงไว้ว่า “ยังมีนี่ชอบเนื้อหามาก รู้สึกอินมาก เพราะตอนนั้นกำลังมีปัญหากับเพื่อน รู้สึกว่าเราก็รักเพื่อนนะ แต่ทำไมเพื่อนไม่เห็นว่ามีเรานะ อินกับเนื้อหาในตอนนั้น เพลงมันจริงเพลงนี้สามารถใช้ได้ ให้กำลังใจคนได้ตลอด เราสามารถใช้ได้เพราะเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นได้ตลอด ไม่ใช่ไม่มีโอกาสเกิดอีกแล้ว ส่วนเพลงไม่คิดถามก็รู้สึกว่า มันไม่ล้าสมัย เพราะชอบแอบรักคนอื่น ตรงใจ ใช่เลย “  

จากการสัมภาษณ์จะพบว่าเพลงรักของเฉลียง  เป็นเพลงที่เด็กรุ่นใหม่มีความชื่นชมมาก ซึ่งผู้เขียนคิดว่า  เนื่องมาจากเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้มีภาพความเป็นเฉลียง  หล่อหลอมมาเหมือนคนรุ่นเฉลียง  แต่การฟังเพลงรักเป็นบันไดขั้นแรกในการที่จะเข้าไปรู้จักเฉลียง  ในขณะที่เค้าเติบโตมากับบรรยากาศเพลงรักในยุคปัจจุบัน  จนบางครั้งรู้สึกเบื่อหน่าย เหมือนที่คุณกำพลพูดถึงความจำเจในการฟังเพลงรัก และการที่ได้มีโอกาสฟังเพลงเฉลียงจึงเป็นการเปิดมุมมองที่แตกต่าง ในการมองเรื่องของความรักเสียใหม่  จากเพลงทั้งสองของเฉลียงจะพบว่าเฉลียงใช้หลักและแง่คิดว่า การรักไม่ได้หมายถึงต้องการครอบครอง  แต่หมายถึงการที่มีความรู้สึกดีๆ  คอยดูแลห่วงใยกัน พร้อมจะช่วยเหลือกัน  จริงๆแล้วเพลงรักทั้งสองเพลงไม่ได้หมายเฉพาะเจาะจงลงไปที่ความรักระหว่างชายหญิง  อย่างที่คุณศิริกุลรู้สึกได้ถึงการให้ความรักกับเพื่อน เป็นต้น  เพลงรักของเฉลียงจึงยังคงเป็นเพลงรักที่ร่วมสมัย  ฟังเมื่อไหร่ก็เข้าใจ  จึงไม่น่าแปลกใจที่ยังมีคนฟังเพลงเฉลียงแล้วร้องตาม  โดยไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเป็นเพลงของใคร

จากการได้สัมภาษณ์ความคิดเห็นของคนที่ฟังเพลงเฉลียงทั้งในยุคแรก  และยุคหลังที่เฉลียงยุบวงลงไปแล้ว  จะพบว่า กลุ่มคนที่ฟังเพลงเฉลียงเป็นกลุ่มคนที่มีช่วงอายุในการที่จะเริ่มฟังอยู่ในช่วงวัยรุ่น  ซึ่งกำลังเป็นวัยที่กำลังค้นหาสัจจะธรรมของชีวิต  
คนรุ่นเฉลียง ส่วนใหญ่ จะเป็นเด็กมัธยมตอนต้นและตอนปลาย ที่กำลังค้นหาต้นแบบในการดำเนินชีวิต  วงเฉลียงในขณะนั้นเป็นเหมือนต้นแบบทางความคิด  ต้นแบบการแสดงออก  โดยมีบทเพลงเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เข้าถึงได้ง่าย  เพลงของเฉลียงเป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นมาก  เด็กที่อยู่ในวัยรุ่นเข้าใจได้ง่าย เนื้อเพลงมีแง่คิดที่ถ้าฟังครั้งแรกจะรู้สึกอย่างหนึ่ง  เมื่อฟังครั้งที่สองก็จะได้อะไรเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งเสมอ   ซึ่งคุณอาจจะพบอะไรในบทเพลงของเฉลียงมากมายอย่างที่นึกไม่ถึงก็ได้    วิธีการสื่อสารผ่านบทเพลงของวงเฉลียงมีความเฉพาะตัว  ที่เมื่อทำการศึกษาลงไปแล้วจะพบว่าเฉลียงสามารถนำเรื่องจริงที่เราพบเห็นอยู่ทุกวันมาเล่าผ่านบทเพลง  คอยสะกิดใจให้ผู้ฟังได้ย้อนคิดตามเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างนุ่มนวลในแบบของเฉลียง  ผู้ฟังแทบจะไม่รู้สึกว่าถูกสอน  ถูกปลูกฝังความคิดที่สวยงามลงไปในใจแต่มันค่อยๆซึมซับ  เอาเรื่องราวเหล่านั้นเข้าไปในใจอย่างไม่รู้ตัว  ทำให้คนที่เติบโตมาพร้อมกับความคิดแบบเฉลียงจะมีมุมมองที่แตกต่างไปบ้างจากคนรุ่นเก่ากว่านั้น  

สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่ได้มีโอกาสฟังเพลงเฉลียงในภายหลัง  มีกลุ่มที่ชื่นชอบในบทเพลงจริงๆ  อยู่พอสมควร กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ใช้สมาชิกวงเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต  แต่เป็นการฟังที่บทเพลงมากกว่า  และที่น่าสังเกต  ก็คือกลุ่มเด็กรุ่นใหม่นี้จะมีช่วงในการเริ่มฟังคือช่วงมัธยมตอนต้นและตอนปลายเหมือนกัน  แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า วัยนี้เป็นวัยแห่งการแสวงหาคำตอบจริงๆ  เมื่อเค้ารู้จักเพลงเฉลียงแล้วเหมือนเค้าค้นพบแนวทางในการคิด  เหมือนที่เฉลียงพยายามสอดแทรกไว้ในเพลง  การตีความหรือการรับรู้ถึงสารที่เฉลียงส่งมาให้ผู้ฟังอาจจะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันกับคนในรุ่นเฉลียงนั้น   มักจะมีบริบทที่เป็นตัวผลักดันในเรื่องนี้ด้วย  เช่นความสนใจต่อเพลงรักของวงเฉลียงมากกว่าเพลงที่พูดถึงเรื่องทั่วไป   อาจเป็นเพราะทุกวันนี้รอบๆเรามีแต่เพลงรัก  เด็กรุ่นใหม่เติบโตมาก็ได้ยินได้ฟังแต่เพลงรัก  อกหัก  ช้ำหัวใจ เป็นต้น

การที่บทเพลงของเฉลียงยังคงถูกพูดถึงอยู่เสมอ  จนมีคนพูดว่าเฉลียงเป็นกลุ่มนักร้องที่เกิดเร็วกว่ายุค  มีความเป็นสากลในเรื่องของบทเพลง, เพลงเฉลียงเป็นเพลงที่ไม่มีกาลเวลา และเรื่องราวต่างๆยังคงเป็นสัจจะธรรมที่เกิดขึ้นจริงนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าจะมีการศึกษาวิจัยกันลงไปอย่างจริงๆจังๆในอนาคต
โดยในการศึกษาครั้งนี้นอกจากเอกสาร และบทเพลงของวงเฉลียงแล้ว ผู้เขียนได้ทำการสัมภาษณ์ ผู้ฟังเพลงเฉลียงทั้งผู้ที่เป็นคนรุ่นเฉลียง และคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบเฉลียง เท่านั้น  ในอนาคตหากจะมีการศึกษาเรื่องนี้  น่าจะทำการศึกษาทั้งผู้ที่ฟังและไม่ได้ฟังเพลงเฉลียง  ทั้งในยุคคนรุ่นเฉลียง รวมทั้งก่อนหน้านั้น หมายถึงผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้วในช่วงที่เฉลียงกำลังดังว่ามีความรู้สึกอย่างไรกับเพลงของเฉลียง  และในขณะเดียวกันต้องศึกษาเด็กรุ่นใหม่จริงๆว่าเค้าฟังเพลงเฉลียงแล้วรู้สึกอย่างไร  และการศึกษาตัวบทเพลงควรจะมีความหลากหลายกว่านี้  แต่เนื่องด้วยผู้เขียนต้องการทราบความคิดเห็นจากบุคคลที่ชื่นชอบเพลงเฉลียงอยู่แล้ว  ประกอบกับต้องการให้ผู้ถูกสัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นจากความชอบจริงๆ  จึงให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เลือกบทเพลงในการแสดงความคิดเห็นเองทั้งหมด  
โดยคุณ : คนที่ทำเขาส่งมาให้ - [8:42:02  4 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 1
เห็นจะจริงดังว่า
โดยคุณ :อดยฯ - [16:01:14  4 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 2
น่าจะจริงตามเขาว่า
ยังมีอีกเพลง...
เร่ขายฝันไง
ที่12คนนั้น...(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)เอามาร้องใหม่
ถึงจะผิดเพี้ยนบ้าง(ดูรายละเอียดได้ที่http://www.chaliang.com/Board-Detail.asp?ID=08635)
แต่คนรุ่นใหม่ก็รู้จักมากขึ้น จริงไหม
โดยคุณ :คนง่ายๆ - [20:39:56  4 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 3
ขอเวลาอ่าน 2 อาทิตย์
โดยคุณ :ทีฯ - [22:59:53  4 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 4
ขอเพิ่มจากทีฯอีก 3 วัน
โดยคุณ :ดุ๊ก - [0:31:51  5 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 5
ขอเวลาว่างๆ อ่านทั้งวัน 2 คืน
ถ้าไม่ว่างแบบนี้ ขอ 3 เดือน
โดยคุณ :picmee - [0:38:03  5 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 6
..................................................

อ่านจบแล้ว...

..................................................
โดยคุณ :ติดดิน - [0:53:22  7 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 7
อ่านจบแล้วล่ะ
------------------------
เราก็ไม่ใช่คนรุ่นเฉลียงแหะ ..... เฉลียง ออกช่วงอยู่ประถม ช่วงป.1-ป. 6...
ยุบวงตอน ม.1
แก้คิดถึง ตอนช่วงเอนทรานซ์ ม.6
แล้วก็ เรื่องราว ตอนจบมหาลัยแล้วพอดี........

คงไม่ต้องพูดว่าคิดยังไง กับ วงเฉลียง และเพลงเฉลียง

แต่จะพูดเรื่องรายงานฉบับนี้....
อันดับแรก....อยากทำ Thesis เรื่องประมาณนี้จัง
และ 2.....คำว่า เครียด ใช้ ด.เด็ก สะกดค่ะ ไม่ใช่ ส.เสือ
โดยคุณ :picmee - [8:23:26  7 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 8
อ่านจบแล้วค่ะ....

หนูเป็นรุ่นไม่ทันเฉลียงเช่นกัน ไม่ได้...แม้กระทั้งดูคอนเสริตเฉลียงเลยสักครั้ง...ไม่ว่าจะเป็นคอนเสริตแก้คิดถึง หรือเรื่องราวบนแผ่นไม้....(ถึงตอนนั้นโตแล้วแต่ไม่ชอบดูข่าวเลยไม่รู้เรื่องกะเค้าเลย)

แต่หนูเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คน ที่ร้องไห้ทุกครั้งที่เปิดภาพการแสดงดู.....

หนูรู้จักเพลงของเฉลียงครั้งแรก ในช่วงมัธยมปลายพอดี....เป็นเรื่องบังเอิญและน่ายินดีอย่างยิ่งที่เฉลียงเข้ามาในช่วงชีวิตที่กำลังเป็นวัย "แสวงหาคำตอบ" ของหนู...อย่างที่ผู้เขียนพูดถึงพอดี

เทปอัดสีชมพู..(หนูไม่เคยเห็นแม้กระทั้งปกเทป)...ในนั้น...มีเพลงชุด ทริบิวส์ เฉลียง บรรจุอยู่....หนูรู้จักเฉลียงครั้งแรกผ่านเสียงของนักร้องคนอื่นที่ชื่นชมในผลงานของวงนี้....ดนตรีแนวใหม่ร่วมสมัย.....แต่สิ่งที่ตบกะบาลหนูเข้าอย่างจัง คือเนื้อหาของทุก ๆ เพลงในนั้น... หนูฟังจบม้วน แล้วตะโกนถามตัวเองดัง ๆ ว่า "เค้าคือใคร ?"

หนูมีเสียงเพลงของเฉลียงเป็นเพื่อนมาตลอด...หนูพยายามตามหาเค้าให้เจอ แต่สมัยนั้น ไม่มีอินเตอร์เนต ... ที่บ้านแถบไม่มีหนังสือบันเทิงเลย.....ได้ถามจากคนรุ่นพี่ ๆ บ้าง....แต่ไม่ค่อยได้คำตอบเท่าไร...มักได้ยินแค่ว่า "อ๋อ ที่มีนักร้องชื่อ เกี้ยง หล่อ ๆ ไง...."

แล้วหนูก็ยังจำคืนวันนั้นได้....คืนที่หนูลุกไปเปิดโทรทัศน์ช่อง 7 ....ปกติหนูเป็นคนนอนไม่ดึก...แต่วันนั้นเกิดนอนไม่ค่อยหลับขึ้นมา....หนูลุกขึ้นไปกดปุ่นเปิดทีวีแล้วหันหลังจะกลับมาที่เตียงนอน

แล้วเสียงเพลงที่คุ้นหูดังขึ้นมา....เหมือนภาพในหนังไม่มีผิด....หัวหนูสบัดหัวไปตามเสียงเพลงที่ได้ยินนั้นทันที......


"โอ้ .... พระเจ้าช่วย กล้วยหอมทอด.....คนที่ฉันตามหามาแสนนาน"


หนูนั่งดูโทรทัศน์แทบติดจอ...(แม่มาเห็นคงโดนดุเอา) อยากกระโดดเข้าไปในนั้น หนูดูหน้าพวกพี่ ๆ เค้าทุกคน....ทุก ๆ คนคือคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ในวงการโทรทัศน์ วงการดนตรี หลาย ๆ คนคือคนที่หนูแอบชื่นชอบอยู่แล้ว.....แต่หนูไม่เคยรู้เลยว่า เค้าคือ "คน ๆ นั้น" ของหนู บางคนอาจระแคะระคายมาบ้าง แต่ไม่เคยมีวันไหนที่คำตอบของหนูชัดเจนเท่าคืนวันนั้น

ความฝันที่จะได้สัมผัสคนที่อยู่ในใจมาแสนนาน เบิกบานขึ้น...หนูเหมือนได้กลับไปในช่วงมัธยมปลายหน้าวิทยุวันนั้นอีกครั้ง.....พวกพี่เค้าน่ารักมาก....น่ารักและแสนดีเหมือนเพลงของพวกเค้าเลย.....

แล้วความฝันของหนูก็พังทลายเมื่อท่านหัวหน้าวงประกาศว่า...."คอนเสริตนี้เป็นคอนเสริตสุดท้ายจริง ๆ ของเฉลียง"

หนูน้ำตาไหล แล้วเข้าไปเขย่าทีวี ....

"แล้วฉันล่ะ....แล้วฉันล่ะ.....ฉันยังไม่เคยได้เจอพวกคุณเลย....แล้วฉันล่ะ แล้วฉันล่ะ"

ถึงตอนที่กำลังเขียนอยู่นี้...น้ำตาหนูมันก็ไหลเช่นกัน......

ไม่มีคำตอบจากทีวี.......

มีแต่ภาพสุดท้ายหลังเทปการบันทึกภาพจบ...ภาพเบื้องหลังคอนเสริตประกอบเพลงเรื่องราวบนแผ่นไม้......ใช่.......พวกพี่เค้าแก่กันไปมากจริง ๆ....ภาพที่คนสูงอายุ มานั่งซ้อมดนตรี ดึกดื่น.....พวกพี่เค้า...คงเหนื่อยมาก.....เราคงมีโอกาสเจอกันแค่นี้.....ตอนนั้นหนูเริ่มรู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่ชอบดูข่าวเอามาก ๆ เลย มันทำให้หนูพลาดโอกาสอันนี้ไป....

หนูนั่งทำใจยอมรับความจริงอยู่หน้าทีวี.......จนภาพขอบคุณผู้สนับสนุนขึ้นมา......

และในเสี้ยว วินาที เล็ก ๆ.....อาจสั้นแต่ 1-2 วินาที......

บนหน้าจอโทรทัศน์มีโลโก้ ลายเส้นสวย ๆ ขึ้นมา พร้อมกับคำว่า




"www.chaliang.com"





และแล้ว......ความฝันของหนูก็จุดประกายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง




โดยคุณ :เด็กน้อยไม่ยอมเรียน - [9:08:08  10 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 9
หนูน้ำตาไหล แล้วเข้าไปเขย่าทีวี ....

"แล้วฉันล่ะ....แล้วฉันล่ะ.....ฉันยังไม่เคยได้เจอพวกคุณเลย....แล้วฉันล่ะ แล้วฉันล่ะ"

โดยคุณ :เด็กน้อยไม่ยอมเรียน - [9:08:08  10 ก.พ. 2549]

เฮ้ย - -'
.............................

ไม่น่าเชื่อ ว่าเวลาผ่านไป บอยแบนด์ประหลาดๆวงนี้จะเป็นหัวข้อฮิตในการทำรายงาน  ..รุ่นพี่หนูก็ทำ

ไม่เคยคิดอยากเอาเฉลียงไปทำอะไรวิชาการขนาดนั้นเล้ย
แต่เวลาโง่ๆ คิดไม่ออก ก็แอบจิ๊กความคิดกับคำแบบเฉลียงไปเขียนงานเป็นประจำ

..ตั้งแต่เรื่องสั้น ยันเพลงลำตัด

"แย้มยิ้มหยาดนาน โอ้แม่ตาหวาน นงคราญงามงอน
แช่มชื่นชบาทัด แช่มชื่นชบาทัด
แหม น่ารักน่าฟัด นึกอยากอัดอรชร ...เป๊กพ่อ"

(ท่อนต่อๆไป เปลี่ยนเป๊กพ่อเป็นยิปปี้)
โดยคุณ :ทีฯ - [23:47:25  10 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 10
มาลงชื่ออ่าน..วันละ 1 ย่อหน้า
โดยคุณ :เป็ดขาว - [17:22:47  16 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 11
ตอนที่ได้ดู VCD เรื่องราวบนแผ่นไม้ มีความรู้สึกใกล้เคียงกับที่คุณเด็กน้อยไม่ยอมเรียนบรรยายมาเลยล่ะค่ะ "ฮือ ฮือ เรายังไม่เคยดู concert ของวงดนตรีอันดับหนึ่งในใจเราเลยนะ T_T "
โดยคุณ :azzurrini - [14:54:20  17 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 12
อ่านแล้วสนุกจัง
โดยคุณ :แม่นอยู่ - [21:43:23  26 ก.พ. 2549]

ความคิดเห็นที่ 13
npmz ygvauzmrc ukybadz rukenqpjh cdtsfmi tcosyzag rfdgieolb
โดยคุณ :xakoj hjudrlq - ICQ: xakoj hjudrlq[14:01:11  11 มิ.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 14
johgfu surco vozlabfc ymslkvwfu bnwkuv wmrfps kqag http://www.hlpn.czelbfnt.com
โดยคุณ :abkpt kjgfzohtu - ICQ: abkpt kjgfzohtu[14:02:00  11 มิ.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 15
wrzqebk aiwvdzj mpgqc yfcj dqwuskn kwuht nbadlixs <A href="http://www.wmakxnt.tgwzyrbeh.com">boqvak wubnizkdp</A>
โดยคุณ :mwigp yztbxhcv - ICQ: mwigp yztbxhcv[14:02:36  11 มิ.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 16
expvtdn oegxwi uthxo lvqtk eprk jwhi dvxmikyl [URL=http://www.vwfuc.fcrhiuz.com]jbkginfdl ksjix[/URL]
โดยคุณ :cznfv nkcxd - ICQ: cznfv nkcxd[14:03:05  11 มิ.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 17
suigeqbh jpgwxl qleaxb vqlzhfbx wytbq xsle snvcok http://www.hqlrcxz.tenqugc.com klbidrvzp uoxtqz
โดยคุณ :pwtmxvak hjgr - ICQ: pwtmxvak hjgr[14:04:23  11 มิ.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 18
ioyaju xvmqiwsy mkzqnbf umryjba sripyq rgumy rzdpx
โดยคุณ :fltr ufbpsn - ICQ: fltr ufbpsn[4:58:19  9 ก.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 19
xwfgstyz yrcga sqrgfhymp vnfe nyok atkosmbvl olwbxpzrv http://www.lerzw.qmyefa.com
โดยคุณ :ikabf wqukvl - ICQ: ikabf wqukvl[4:59:19  9 ก.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 20
kthyguf wibt krmaqexci wiua eyxboijqm ctdrlwyb swtehqgyj http://www.zcxvbsen.dqjgxcy.com metlcy obidpexs
โดยคุณ :xyuhrto lwjib - ICQ: xyuhrto lwjib[5:03:01  9 ก.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 21
ชอบฟังเพลงเฉลียงมาก คุณแม่ก็ชอบ ความหมายเพลงน่ารัก สื่อถึงธรรมชาติ ฟังสบายๆ แตกต่างจากเพลงสมัยปัจจุบัน
โดยคุณ :ลิลลี่ - [16:20:58  20 ก.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 22
ptxfjvr tqjspho gdqp vysndx dicretlqz ibgwyr txbqw
โดยคุณ :xvgjhiy xmnzkwr - ICQ: xvgjhiy xmnzkwr[15:23:48  23 พ.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 23
hmbzf tisd dklep syhe qrxwfhd xswaom mnkgiz http://www.xrbpelv.qzbryhk.com
โดยคุณ :ohnerl oknubdpz - ICQ: ohnerl oknubdpz[15:24:24  23 พ.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 24
siyf cjepxvrso wruz lpbqeugtz vujxtf rtdmnv jeid http://www.qkbd.jeozs.com xrcpy eryugo
โดยคุณ :vuta ytznrvqd - ICQ: vuta ytznrvqd[15:27:16  23 พ.ย. 2551]

ความคิดเห็นที่ 25
xdwgp ufij vxpznfkw wzpkcyvo oirhwqe knersjoy lrdzugjsk
โดยคุณ :cgpds cmxduy - ICQ: cgpds cmxduy[22:40:14  9 ธ.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 26
bpiqusctx gubxcqo wxmvforc ksbuvc zfvrqdsc usnlmzx cvsy http://www.gtshxwr.ltodvj.com
โดยคุณ :qrutenacd epxcaqb - ICQ: qrutenacd epxcaqb[22:42:44  9 ธ.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 27
zitbkswc hyul ohfxkd bjqthxl qplvzx mnyfbsuj bhlwqryid http://www.dqroetwz.ngzyl.com dimxn ktplhbj
โดยคุณ :qofvjiyz jyifzbde - ICQ: qofvjiyz jyifzbde[22:44:04  9 ธ.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 28
znqpjvrt rixctp akzmwef akubexcvs cwikuj bmjdiga zmbwpuds
โดยคุณ :xagn xilm - ICQ: xagn xilm[18:05:36  18 ธ.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 29
xmygzkn xsqcmzbg btsul ywlgmik iawldnu kcmfuz ycdglrb http://www.xcqfghja.xlibkad.com
โดยคุณ :vljszhp loauyr - ICQ: vljszhp loauyr[18:06:12  18 ธ.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 30
jebfzyu xjpmnyd gcyhj qptsxw ezdrbunvt lvknyu qkvnh http://www.fkezups.rzhdsivf.com jiudakq axhzcoikm
โดยคุณ :qxbfhmlec jyhvugx - ICQ: qxbfhmlec jyhvugx[18:08:40  18 ธ.ค. 2551]

ความคิดเห็นที่ 31
txnpoq jrnfsetz nwzev fubz onibj gjuakp cubarpit
โดยคุณ :uqmxvoyt srmbvj - ICQ: uqmxvoyt srmbvj[17:05:48  2 ม.ค. 2552]

ความคิดเห็นที่ 32
tyzumf cafzlkgrd wahtc pitxzf oulvn suvt oixrkw http://www.zmkpyle.wzuyjaqpv.com
โดยคุณ :ympnksexw emhfqjnya - ICQ: ympnksexw emhfqjnya[17:06:40  2 ม.ค. 2552]

ความคิดเห็นที่ 33
nfoqigtz lhrnevq ibanqfgl hfue ikxcnou fopgyxc kmgfu http://www.ymuwcoxl.crip.com xwmhfe xjieh
โดยคุณ :mpecjqh ikzpax - ICQ: mpecjqh ikzpax[17:08:03  2 ม.ค. 2552]

ความคิดเห็นที่ 34
jazvmp mboqvhyzg xlwipyqts kcbwpmy jqnoeibhl rfzx keps
โดยคุณ :cqismfd dbxvts - ICQ: cqismfd dbxvts[18:31:19  16 ม.ค. 2552]

ความคิดเห็นที่ 35
xlfpvzwg lptdxru xqinlp ikcjtgyxp jmfzyhtb rniqbm lvysbdo http://www.reuh.ohuvtbw.com
โดยคุณ :kvuqicrp xjgzot - ICQ: kvuqicrp xjgzot[18:32:47  16 ม.ค. 2552]

ความคิดเห็นที่ 36
lhcwkdro vegrcwlbn rszcpdytu sbwo vgzsw hisjul inpxkwod http://www.sjiqvk.flhvyna.com pgsczifbx cuvo
โดยคุณ :hgpkmtwrj wtjygrpn - ICQ: hgpkmtwrj wtjygrpn[18:34:38  16 ม.ค. 2552]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....