ความคิดเห็นที่ 2
>สุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง
>Apple และผู้สร้าง Macintoch
>
>โอวาทที่ Steve Jobs ผู้สร้าง Macintosh
>แสดงในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่ 12
>มิถุนายนที่ผ่านมา
>ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น
>แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley
>และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้
>
>สุนทรพจน์วันนั้น Jobs เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท
>แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขาซึ่งแม้แต่แม่ที่แท้จริงก็ไม่ต้องการ
>กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
>
>บทเรียนบทแรกของ Jobs ซึ่งเขาเรียกมันว่า "การลากเส้นต่อจุด"
>เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย
>เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัย Reed College ไปได้เพียง 6
>เดือน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น Jobs
>กล่าวว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด
>
>แม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน
>ไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา
>และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก
>แต่เธอมีเงื่อนไขว่า
>พ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย Jobs
>เกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะ
>ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า
>พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย
>
>กว่า Jobs จะได้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งต่อมาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่
>ก็อีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด
>เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเกิดจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของ
>Jobs ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งไม่ได้จบมหาวิทยาลัย
>และพ่อบุญธรรมของ Jobs ไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ
>แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยก Jobs ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม
>เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ Jobs ได้เรียนมหาวิทยาลัย
>
>17 ปีต่อมา Jobs
>ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง
>ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่กลับต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูกที่ตนไม่เคยเลี้ยงดู
>เพียง 6 เดือนในมหาวิทยาลัย Jobs
>ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต
>หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง Jobs ตัดสินใจลาออก
>เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย
>ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต
>
>แม้ว่าตอนนี้เมื่อมองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า
>การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา
>เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจ
>แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้
>
>แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก
>เมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก
>และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน
>ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์
>เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์
>เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด Hare Krishna
>
>อย่างไรก็ตาม เขาชอบที่หลังจากลาออก
>เขาสามารถที่จะไปเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ
>และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18
>เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป
>ได้กลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา
>และหนึ่งในนั้นคือ วิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร
>(calligraphy)
>
>Jobs ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า
>จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10
>ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์
>Macintosh เครื่องแรก
>วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน และทำให้
>Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก
>ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม
>
>ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย
>เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และ Mac
>ก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่างๆ ที่หลากหลาย หรือ font
>ที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้
>Windows ที่ลอกแบบไปจาก Mac อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน
>คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆ ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้
>
>อย่างไรก็ตาม Jobs บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น
>เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ "ลากเส้นต่อจุด" หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า
>วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (คอลิกราฟฟี่)
>จะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการออกแบบ Mac
>เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดระหว่างวิชาลิปิศิลป์กับการคิดค้นเครื่อง
>Mac ได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น
>
>ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้ ดังนั้นคำแนะนำของ Jobs
>ก็คือ คุณจะต้อง "ไว้ใจและเชื่อมั่น" ว่า
>จุดทั้งหลายที่คุณได้ผ่านมาในชีวิตคุณ
>มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้
>ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตา ชีวิต หรือกฎแห่งกรรม
>ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่
>
>บทเรียนชีวิตบทที่สองที่ Jobs เล่าต่อไปคือ ความรักและการสูญเสีย Jobs
>อายุเพียง 20 ปี เมื่อเขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับเพื่อนที่โรงรถของพ่อ
>เพียง 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2
>คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์และพนักงานมากกว่า
>4,000 คน
>แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh
>ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Jobs
>ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ เมื่ออายุเพียงแค่
>30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพ
>ที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple
>และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น
>
>ข่าวการถูกไล่ออกของเขาเป็นข่าวที่ใหญ่มาก และเช่นเดียวกัน
>มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา Jobs กล่าวว่า
>เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา
>และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้จะทำอะไรอยู่หลายเดือน
>และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต
>
>แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า
>เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple
>มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิด
>เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาพบว่า
>การถูกอัปเปหิจาก Apple
>กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา
>เพราะความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเป็นมือใหม่อีกครั้ง
>และช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
>จนสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของเขา
>
>ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น Jobs ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar
>และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar
>ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy
>Story
>และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
>
>ส่วน Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่ Apple
>อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เขาได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT
>ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของ Apple
>
>Jobs กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขมแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้
>เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก
>Jobs เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลุกขึ้นได้ในครั้งนั้น
>คือเขารักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ
>เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง
>คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม
>และวิธีเดียวที่คุณจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ
>คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ
>อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ
>และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว
>
>ส่วนบทเรียนชีวิตบทสุดท้ายในโอวาทของเขาคือ ความตาย เมื่ออายุ 17 ปี
>Jobs ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา
>ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต
>และตลอด 33 ปีที่ผ่านมา Jobs จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า
>ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา
>เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่
>ถ้าหากคำตอบเป็น "ไม่" ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า
>ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง
>
>Jobs กล่าวว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง
>เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา
>ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้
>เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง
>ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ
>ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น
>เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น
>
>วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด
>ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า
>คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว
>เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น
>
>เมื่อปีที่แล้ว
>เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้
>และจะตายภายในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน
>แพทย์ถึงกับบอกให้เขากลับไปสั่งเสียครอบครัวซึ่งเท่ากับเตรียมตัวตาย
>
>แต่แล้วในเย็นวันเดียวกัน
>เมื่อแพทย์ได้ใช้กล้องสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อนของเขาออกมาตรวจอย่างละเอียด
>ก็กลับพบว่า
>มะเร็งตับอ่อนที่เขาเป็นนั้นแม้จะเป็นชนิดที่พบได้ยากก็จริง
>แต่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด
>และเขาก็ได้รับการผ่าตัดและหายดีแล้ว
>
>นั่นเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดเท่าที่ Jobs เคยเผชิญมา
>และทำให้ขณะนี้เขายิ่งสามารถพูดได้เต็มปาก
>เสียยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขาเพียงแต่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติว่า
>ไม่มีใครที่อยากตาย
>แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะไปสวรรค์
>แต่ก็ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น และเขาคิดว่า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น
>Jobs เห็นว่า ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ "ชีวิต"
>ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ
>ให้หมดไปเพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งใหม่ๆ
>
>ดังนั้น Jobs บอกว่า เวลาของคุณจึงมีจำกัด
>และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น
>จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น
>และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ
>และที่สำคัญที่สุดคือ
>คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป
>เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร
>
>Jobs ปิดท้ายสุนทรพจน์ของเขา
>ด้วยการหยิบยกวลีที่อยู่ใต้ภาพบนปกหลังของวารสารฉบับสุดท้ายของวารสารเล่มหนึ่งที่เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อ
>30 ปีก่อน ซึ่งเขาเปรียบวารสารดังกล่าวเป็น Google บนแผ่นกระดาษ
>และเป็นประดุจคัมภีร์ของคนรุ่นเขา วารสารดังกล่าวมีชื่อว่า The Whole
>Earth Catalog จัดทำโดย Stewart Brand ส่วนวลีนั้นคือ "จงหิวโหย
>จงโง่เขลาอยู่เสมอ" ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา
>
>
>Fortune ฉบับเดือนกันยายน 2548
>
>แปลและเรียบเรียงโดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
โดยคุณ
:เด็กน้อยไม่ยอมเรียน - [9:43:06 27 เม.ย. 2549] |