กระดานความรู้สึก


อยากจะปรึกษาเรื่องนิดหน่อยคับ
ผมอยากจะขอคำปรึกษาดีๆหน่อยคับ พอดีเพื่อนผมเค้าโดนรีไทร์จากมหาลัยอะคับผมไม่รู้ใจพูดอย่างไงดีอะ เค้าเสียใจมากเลย ผิดหวังมากเค้าบอกว่าเค้าไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ทำไมเมื่อเค้าไม่ได้ทำตามที่เค้าฝันไว้ตั้งแต่เด็กอะ เราไม่รู้จักบอกเค้าอย่างไงแล้วอะ กลัวเค้าคิดสั้นอะ (เค้าบอกว่าสุขภาพเค้าไม่ดีเลยทำให้เค้าเรียนไม่ไหวอะ) อยากจะถามว่ามีคำแนะนำดีๆไหมคับ ขอบคุณนะคับ
โดยคุณ : น้องหิ่งห้อย - [22:57:19  26 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 1
เพื่อนพี่

โดนรีไทร์ เหมือนกัน ตอนปี 3 แล้วด้วย...มันก็คงเสียใจอ่ะนะ แต่มันก็สู้ต่อไป...

ตอนเรียนครั้งแรก เพื่อนพี่มันก็เลือกคณะ/สาขาที่ อืม ยังไงดีหละ...แน่นอน มันก็ชอบด้วยส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ ก็สมควรกับคะแนน ตอนเอ็นทรานส์ด้วย....

แต่หลาย ๆ คน รวมทั้งน้อง/เพื่อนน้อง เองด้วยคงเจอความรู้สึกแบบนี้ ประมาณว่า พอเราได้มาเรียนสักพัก ได้มาสัมผัส ได้เปิดโลกกว้าง และมองการเข้าทำงานในอนาคต...บางที มันก็มี คณะ/สาขา อื่น ที่เราคิดว่ามันใช่มากกว่า...พอเข้าใจไหม...บางคนตัดสินใจเอนทรานส์ใหม่ก็เยอะแยะ บางคน ก็ทนเรียนต่อไป เพราะสังคนไทย ยังติดกับการเรียนให้จบตามเกณฑ์

ที่นี้เพื่อนพี่ มันก็ ใช้วิกฤติ ให้เป็นโอกาส (โชคดีที่บ้านมันพอมีตังค์เยอะ)

หลังโดนรีไทร์ ก็ไปสมัคร มหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่อนข้างมีชื่อ ด้าน ไอที

(เพราะมันเริ่มสนใจด้านไอที เยอะขึ้น และมัวเล่นเกมส์จนโดนรีไทร์นั่นเอง)

ได้เรียนสิ่งที่ตัวเองถนัด และชอบ......เสียงเวลาไปเพียงแค่ สามปี กับได้อาชีพใหม่ ที่เลี้ยงตัวเองได้ทั้งชีวิต

น้องเอ๋ย น้องก็รู้ว่าตอนนี้ เรื่อง ไอที มันบูม แค่ไหน .... มันเรียนจบ เงินเดือนมัน พุ่งปรี๊ดดดดด กว่าเพื่อนที่จบจากที่เดิม เป็นไหน ๆ

บอกเพื่อน เปลี่ยนวิกฤติ ให้เป็นโอกาส ... บางที บางสิ่งบนท้องฟ้า ก็อยากให้เราเปลี่ยนทางเดินชีวิต อย่าท้อ สู้ต่อไป

เออ...เคยอ่าน ฟอร์เวิรด เมล ที่เป็นสุทรพจน์ ของนายสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อ/ผลิต เครื่องคอมพิวเตอร์ แอเปิ้ล และ ระบบ แม็คอินทอส ไหม อันนั้นหน่ะ สุดยอด เดี่ยวพี่ไปค้น ๆ ดู แล้วจะเอามาแป๊ะให้อ่าน...สุดยอดเลย

(หรือใครมีเก็บไว้ รบกวนโพสให้น้องเค้าด้วยนะคะ)

อ่อ อีกวิธีหนึ่ง......พาเพื่อนไปดู/อ่าน มหาวิทยาลัย เหมืองแร่ ซะ

โชคดี ไอ้น้อง
โดยคุณ :เด็กน้อยไม่ยอมเรียน - [8:22:37  27 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 2
>สุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง
>Apple และผู้สร้าง Macintoch
>
>โอวาทที่ Steve Jobs ผู้สร้าง Macintosh
>แสดงในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่ 12
>มิถุนายนที่ผ่านมา
>ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น
>แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley
>และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้
>
>สุนทรพจน์วันนั้น Jobs เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท
>แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขาซึ่งแม้แต่แม่ที่แท้จริงก็ไม่ต้องการ
>กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
>
>บทเรียนบทแรกของ Jobs ซึ่งเขาเรียกมันว่า "การลากเส้นต่อจุด"
>เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย
>เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัย Reed College ไปได้เพียง 6
>เดือน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น Jobs
>กล่าวว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด
>
>แม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน
>ไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา
>และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก
>แต่เธอมีเงื่อนไขว่า
>พ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย Jobs
>เกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะ
>ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า
>พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย
>
>กว่า Jobs จะได้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งต่อมาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่
>ก็อีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด
>เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเกิดจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของ
>Jobs ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งไม่ได้จบมหาวิทยาลัย
>และพ่อบุญธรรมของ Jobs ไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ
>แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยก Jobs ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม
>เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ Jobs ได้เรียนมหาวิทยาลัย
>
>17 ปีต่อมา Jobs
>ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง
>ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่กลับต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูกที่ตนไม่เคยเลี้ยงดู
>เพียง 6 เดือนในมหาวิทยาลัย Jobs
>ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต
>หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง Jobs ตัดสินใจลาออก
>เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย
>ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต
>
>แม้ว่าตอนนี้เมื่อมองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า
>การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา
>เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจ
>แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้
>
>แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก
>เมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก
>และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน
>ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์
>เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์
>เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด Hare Krishna
>
>อย่างไรก็ตาม เขาชอบที่หลังจากลาออก
>เขาสามารถที่จะไปเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ
>และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18
>เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป
>ได้กลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา
>และหนึ่งในนั้นคือ วิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร
>(calligraphy)
>
>Jobs ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า
>จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10
>ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์
>Macintosh เครื่องแรก
>วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน และทำให้
>Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก
>ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม
>
>ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย
>เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และ Mac
>ก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่างๆ ที่หลากหลาย หรือ font
>ที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้
>Windows ที่ลอกแบบไปจาก Mac อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน
>คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆ ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้
>
>อย่างไรก็ตาม Jobs บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น
>เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ "ลากเส้นต่อจุด" หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า
>วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (คอลิกราฟฟี่)
>จะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการออกแบบ Mac
>เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดระหว่างวิชาลิปิศิลป์กับการคิดค้นเครื่อง
>Mac ได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น
>
>ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้ ดังนั้นคำแนะนำของ Jobs
>ก็คือ คุณจะต้อง "ไว้ใจและเชื่อมั่น" ว่า
>จุดทั้งหลายที่คุณได้ผ่านมาในชีวิตคุณ
>มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้
>ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตา ชีวิต หรือกฎแห่งกรรม
>ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่
>
>บทเรียนชีวิตบทที่สองที่ Jobs เล่าต่อไปคือ ความรักและการสูญเสีย Jobs
>อายุเพียง 20 ปี เมื่อเขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับเพื่อนที่โรงรถของพ่อ
>เพียง 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2
>คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์และพนักงานมากกว่า
>4,000 คน
>แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh
>ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Jobs
>ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ เมื่ออายุเพียงแค่
>30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพ
>ที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple
>และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น
>
>ข่าวการถูกไล่ออกของเขาเป็นข่าวที่ใหญ่มาก และเช่นเดียวกัน
>มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา Jobs กล่าวว่า
>เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา
>และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้จะทำอะไรอยู่หลายเดือน
>และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต
>
>แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า
>เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple
>มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิด
>เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาพบว่า
>การถูกอัปเปหิจาก Apple
>กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา
>เพราะความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเป็นมือใหม่อีกครั้ง
>และช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
>จนสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของเขา
>
>ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น Jobs ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar
>และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar
>ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy
>Story
>และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
>
>ส่วน Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่ Apple
>อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เขาได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT
>ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของ Apple
>
>Jobs กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขมแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้
>เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก
>Jobs เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลุกขึ้นได้ในครั้งนั้น
>คือเขารักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ
>เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง
>คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม
>และวิธีเดียวที่คุณจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ
>คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ
>อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ
>และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว
>
>ส่วนบทเรียนชีวิตบทสุดท้ายในโอวาทของเขาคือ ความตาย เมื่ออายุ 17 ปี
>Jobs ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา
>ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต
>และตลอด 33 ปีที่ผ่านมา Jobs จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า
>ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา
>เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่
>ถ้าหากคำตอบเป็น "ไม่" ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า
>ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง
>
>Jobs กล่าวว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง
>เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา
>ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้
>เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง
>ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ
>ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น
>เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น
>
>วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด
>ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า
>คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว
>เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น
>
>เมื่อปีที่แล้ว
>เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้
>และจะตายภายในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน
>แพทย์ถึงกับบอกให้เขากลับไปสั่งเสียครอบครัวซึ่งเท่ากับเตรียมตัวตาย
>
>แต่แล้วในเย็นวันเดียวกัน
>เมื่อแพทย์ได้ใช้กล้องสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อนของเขาออกมาตรวจอย่างละเอียด
>ก็กลับพบว่า
>มะเร็งตับอ่อนที่เขาเป็นนั้นแม้จะเป็นชนิดที่พบได้ยากก็จริง
>แต่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด
>และเขาก็ได้รับการผ่าตัดและหายดีแล้ว
>
>นั่นเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดเท่าที่ Jobs เคยเผชิญมา
>และทำให้ขณะนี้เขายิ่งสามารถพูดได้เต็มปาก
>เสียยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขาเพียงแต่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติว่า
>ไม่มีใครที่อยากตาย
>แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะไปสวรรค์
>แต่ก็ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น และเขาคิดว่า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น
>Jobs เห็นว่า ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ "ชีวิต"
>ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ
>ให้หมดไปเพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งใหม่ๆ
>
>ดังนั้น Jobs บอกว่า เวลาของคุณจึงมีจำกัด
>และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น
>จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น
>และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ
>และที่สำคัญที่สุดคือ
>คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป
>เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร
>
>Jobs ปิดท้ายสุนทรพจน์ของเขา
>ด้วยการหยิบยกวลีที่อยู่ใต้ภาพบนปกหลังของวารสารฉบับสุดท้ายของวารสารเล่มหนึ่งที่เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อ
>30 ปีก่อน ซึ่งเขาเปรียบวารสารดังกล่าวเป็น Google บนแผ่นกระดาษ
>และเป็นประดุจคัมภีร์ของคนรุ่นเขา วารสารดังกล่าวมีชื่อว่า The Whole
>Earth Catalog จัดทำโดย Stewart Brand ส่วนวลีนั้นคือ "จงหิวโหย
>จงโง่เขลาอยู่เสมอ" ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา
>
>
>Fortune ฉบับเดือนกันยายน 2548
>
>แปลและเรียบเรียงโดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
โดยคุณ :เด็กน้อยไม่ยอมเรียน - [9:43:06  27 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 3
ไม่เกี่ยวกับรอบเอว ไม่เกี่ยวกับหางตา ไม่เกี่ยวกับคืนวัน ที่ผ่านไป จะอ่อนใจ จะเพลียเหนื่อยล้า...
ถ้ายังอยากหาโลกในใจ ให้มันเจอ
ไม่เกี่ยวกับเรี่ยวแรง ไม่เกี่ยวกับบ้านไกล ไม่เกี่ยวกับดวงดาว ที่แวววาวสุกสกาวจะจริงแค่ไหน....
ไม่เลยไม่สายที่จะฝัน
คนคนหนึ่งเคยยืนมองไปบนฟ้าอันกว้างใหญ่ วันเวลาเวียนไปก็ยังมองฟ้าตรงที่เก่า ใครจะมองว่าเราเป็นคนชอบย้ำก็ช่างเขา...
คงมีดาวบางดาวรอเรามองซ้ำบ้างใช่ไหม ให้ย้ำกันต่อไป ให้ฝันกันต่อไป
ถึงมันจะหงอกก็ช่างมัน อย่าหยุดก็เเล้วกัน จะเปลี่ยวจะเดียวดาย ไม่มีใคร อยู่เคียงกาย สักคนหนึ่งนั้น...
ให้ใจมีฝันอยู่เคียงใจ

เพราะมัน...
(ซ้ำอีกครั้ง)

ลองไปบอกเพื่อนของคุณนะครับ ว่า อย่าหยุดที่จะฝัน....
ขอให้พยายามต่อไป
ที่สำคัญ อย่าลืมเอาเพลงนี้ไปเปิดให้เขาฟังด้วยล่ะ...
ขอให้โชคดี
โดยคุณ :นาย ป.ล. - [10:33:12  27 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 4
จบมหาวิทยาลัยในสี่ปีได้ ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตนะ
การไม่จบมหาวิทยาลัย ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนล้มเหลวตลอดไป
ถึงวันนี้เราจะล้ม แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่มีทางลุกขึ้นได้นี่ครับ
การเรียนรู้ชีวิตสำคัญกว่า เรียนให้รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร
บางคน ถึงเรียนจบอะไรต่อมิอะไรมากมาย ก็ยังหาว่าตัวเองชอบอะไรไม่เจอ
แต่บางคน หาไอ้สิ่งที่อยากทำจนเจอได้ โดยไม่ได้เรียนจบอะไรเลย

แต่อีกครั้ง ว่าปริญญาก็เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ใช้เป็นบัตรผ่าน
ทำให้เราทำอะไรได้มากขึ้น มีคนเชื่อถือมากขึ้น อย่าท้อครับ
แต่การเรียนก็ไม่มีวันจบนะ... และมีหลายทางให้เรียนนะ...
ทั้งในมหาลัยปิด และ มหาลัยเปิด
โดยคุณ :JuLaJuP :P - [20:30:43  27 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 5
ได้อ่านบทความนี้ตอนกำลัง จะตัดสินใจบางอย่างพอดี....จริง ๆคนเราน้อยมากเลยนะที่ชีวิตดำเนินมาแล้วหาคำตอบสุดท้ายให้กับเจอคือ จริง ๆแล้วเราต้องการอะไร..เพราะกว่าจะเจอคำตอบคงผ่านอุปสรรคในการตัดสินใจมากมายเหลือเกิน ที่สำคัญที่สุด คือ จิตใจของเราองเลย....เฮ้อ ... กลุ้มใจ เพราะเราก้อเป็นคนนึงที่มักเกิดอาการโลเล กับการตัดสินใจเหมือนกัน พูดง่าย ๆ ว่าบางทีก้อๆไม่มีความกล้าในการตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญมาก ๆเหมือนกันเรียกง่ายว่าไม่กล้าก้าวไปอย่างมั่นคงนั่นแหละจ๊ะ.....
โดยคุณ :น้องนุช - [20:55:45  27 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 6
โหย โดนรีไทร์เพราะเรื่องสุขภาพนี่น่าเห็นใจอะ

เป็นพี่ พี่จะไปดูแลตัวเองก่อน แล้วหวนมาบู๊ใหม่ซักตั้ง
ความฝันตั้งไว้ แต่ไม่ต้องไปถึงมันซะจนเกินไปก็ได้มั้ง
เคยดูโฆษณาประกันชีวิตหรือธนาคารอะไรซักอย่างมั้ย?
ที่พนักงานดับเพลิง"อยากเป็นนักร้องงงง"
มีความสุขกับสิ่งที่เป็น น่ารักจะตาย

ใจดีๆนะ พี่ไม่ใช่คนให้กำลังใจใครพร่ำเพรื่อ
แต่วันนี้เอาใจช่วยจริงๆ
โชคดีที่รัก
โดยคุณ :ทีฯ - [21:52:15  27 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 7
The greatest achievement in life is to stand up again after failing - fortune cookie

ผลงานอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคือการลุกขึ้นได้อีกครั้งหลังจากล้มเหลว - แม้แต่ fortune cookie ยังมีอะไรดีๆให้คุณอ่าน ฮี่ๆ

ปล. อยากได้กำลังใจและสติไปอ่าน หนอนในตะกร้า (บางบทความ) ที่เว็บของคุณวินทร์นะคะ http://www.winbookclub.com/ เวลาท้อๆ อ่านแล้วน้ำลายไหล เหมือนโดนตบหน้า กระชากหัวแรงๆให้ลุกขึ้นมาสู้ใหม่

เช่น

"อุปสรรคทางกายเป็นเรื่องเล็กเสมอสำหรับคนที่ใช้กำลังใจเป็นเข็มทิศชีวิต

เพราะมนุษย์อาจสูญเสียองคาพยพแห่งกายได้ แต่หากไม่ยอมแพ้ นรกที่ไหนก็ขวางไม่ได้ "

ที่มา http://www.winbookclub.com/basket_detail.php?id=107
โดยคุณ :Namtarn - [10:09:30  28 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 8
ขอบคุณทุกคำแนะนำนะคับ คำแนะนำของทุกคนจะมีความหมายต่อคนๆหนึ่งมากมายนะคับ ผมขอขอบคุณแทนเค้าด้วยนะคับ
โดยคุณ :น้องหิ่งห้อย - [23:05:17  28 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 9
...........................................

พี่จุ้ย...ก็ไม่จบนี่นา

...........................................
โดยคุณ :ติดดิน - [20:42:16  29 เม.ย. 2549]

ความคิดเห็นที่ 10
เป็นกำลังใจให้น้องนุชนะ  กับการที่ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ ครั้งหนึ่งในชีวิต
โดยคุณ :ระเบียงไม้ - [9:58:30  30 เม.ย. 2549]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....