สุขสันต์...วันโกหก
................................
ผมเคยสงสัยในใจมาตั้งนานแล้วว่า......
เจ้าของจดหมายปริศนาที่เขียนถึงผมมาเป็นระยะกว่าสี่เดือน ....เธอเป็นใครกันแน่ !!! ....
เพราะทุกวันที่ผ่านมา ผมจะได้รับจดหมายที่ว่าเป็นประจำ เกือบจะทุกวัน วันละฉบับบ้าง สองวันฉบับบ้าง มันเป็นจดหมายใส่ซองธรรมดา (ซองมาตรฐานตามข้อกำหนดของกรมไปรษณีย์) ซองเป็นสีชมพูสดใส วันที่ผมได้รับครั้งแรก ยังนึกว่าใครส่งการ์ดงานบวช หรือขึ้นบ้านใหม่มาให้เสียอีก
....แต่หน้าซองไม่มีชื่อผู้รับ
ไม่มีแม้แต่ที่อยู่ของผู้ส่ง......
ผมได้แต่ชื่นชมในความพยายามของคุณลุงไปรษณีย์เป็นกำลัง ที่สามารถรู้ได้ว่า จดหมายฉบับนั้น มันจะต้องเป็นของผมอย่างแน่นอน
นี่แหละนะ...ที่เขาว่าการสื่อสารไร้พรมแดน เพราะขนาดไร้ชื่อและที่อยู่ของผมซะขนาดนั้น ลุงแกก็ยังเดาและรู้ได้ว่าเป็นของผม....
อือม์....เข้าเรื่องดีกว่า....
เนื้อความในจดหมายแต่ละฉบับที่ผมได้รับ เต็มไปด้วยถ้อยคำที่เหมือนกับคนมองโลกในแง่ดี และเขียนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อผม ตามแบบพรรณาโวหาร เอ่อ...จริงจริงแล้วผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะประทับใจกับมันหรือไม่ ผมรู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกที่บรรยายได้ยากมากกว่า.....
เธอเคยเขียนมาบอกกับผมในจดหมายว่า ไม่รู้จักผมเป็นการส่วนตัว แต่รู้สึกนิยมชมชื่นปลาบปลื้มดาษดื่น... หรืออะไรทำนองนั้น....
ผมพยายามนึก....
นี่ผมเคยไปสร้างวีรกรรมอันใดหนอ ถึงทำให้คนหนึ่งคนรู้สึกกับผมได้ดีถึงเพียงนี้.....
ผมย้อนความทรงจำไปเมื่อตอนอยู่ชั้นป. 4 ผมเคยได้รับรางวัลเหรียญทองด้านความประพฤติดีเด่น ผมสอบได้ที่หนึ่งสามปีซ้อน ส่วนตอนม. 3 ผมเคยเล่นแชร์บอลชนะลูกโทษสีเขียวด้วย (ตอนนั้นผมอยู่สีเหลือง)
อือม์...แต่นั่นก็ยังไม่น่าจะใช่เหตุผลที่สมควรนะ ผมว่า....
แต่ช่างเถอะ...
เรื่องบางเรื่องก็อาจไม่มีคำอธิบายที่กระจ่างพอ เท่า ๆ กับที่มันเป็น...
นับจากนั้นเป็นต้นมา ผมเริ่มกลายเป็นคนหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น ยามปกติเวลาข้ามถนน ผมจะมองซ้าย และมองขวา แต่ปัจจุบัน ผมเพิ่มความถี่ในการมอง เป็นมองซ้าย มองขวา มองหน้า มองหลัง และกลับมามองซ้ายอีกสองรอบ มองขวาอีกสองที จนทำเอาจราจรที่ยืนโบกอยู่แถว ๆ นั้นเคืองผมอยู่บ่อย ๆ.....
และไม่ใช่แค่การข้ามถนนของผมเพียงอย่างเดียว ขนาดผมจะตัดใจจูงลูกแมวข้ามถนน ผมยังมีความรู้สึกละล้าละลัง...
ผมเกรงครับ ....
ผมเกรงว่าภาพพจน์ของผมจะยิ่ง เอ้อ...ผมหมายถึงว่า ผมไม่อยากให้ภาพของผมเป็นเหมือนผู้เสียสละ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อะไรขนาดนั้น
ให้ตายสิ...ผมอุทานเบา ๆ
....นี่ผมคิดมากไปถึงเพียงนี้หรือนี่ ....
ผมเคยเอาเรื่องนี้โทรไปปรึกษารายการเรื่องน่ารู้กับหมอชาวบ้าน แต่โดนเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์และร้องทุกข์ที่นั่น เตือนสติว่า ผมคงโทรมาผิดรายการแล้ว และยังมีน้ำใจแนะนำให้ผมลองโทรไปรายการ ปลูกสวนเกษตรเองก็ได้...ง่ายจัง... คงจะตรงประเด็นมากกว่า....
....แต่ผมก็ไม่ได้โทรไป และได้แต่เก็บเอาความสงสัยที่ว่า...ไว้เพียงลำพัง....
........................
เช้าของอีกวัน....
มีเสียงกดออดดังอยู่ที่หน้าบ้าน
ในใจผมนึก สงสัยลุงบุรุษไปรษณีย์คงเอาจดหมายลึกลับนั่นมาส่งให้ผมอีกแน่ ผมค่อย ๆ ลุกไปเปิดประตูด้วยอาการงัวเงีย
แต่ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก...ผมก็อึ้ง...
นี่กรมไปรษณีย์มีนโยบายให้ผู้หญิงส่งจดหมายด้วยหรือ แต่เอ...ทำไมเธอไม่ใส่ชุดไปรษณีย์ล่ะ...
"เอ้อ..." เธอเริ่มพูดก่อน
"เอ้อ..." ผมพูดมั่ง
"คืองี้ค่ะ" น้ำเสียงของเธอหลังจากปรับระดับได้แล้ว ก็เริ่มเสียงดังขึ้นมาเชียว
"คือหนูจะมาขอโทษคุณน่ะค่ะ" เธอหยุดถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมา คุณได้รับจดหมายแปลกแปลกใช่ไหมคะ" เธอถามคำถามที่ผมเองไม่ทันจะตั้งตัว ผมพยักหน้าหงึกหงัก พลางถอยหลังเป็นจังหวะไปสองสามก้าว และจ้องหน้าเธอตรง ๆ
หน้าเธอก็ไม่มีอะไรแปลกไปกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ผมเคยเห็น ออกจะธรรมดาธรรมดาด้วยซ้ำ......
"คือ หนูจะมาบอกว่า จริงจริงแล้ว ไปรษณีย์เขาส่งจดหมายผิดบ้านน่ะค่ะ " เธอพูดถึงประโยคนี้ ก็เอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก จังหวะเหมือนเพลง
เทคโนแดนซ์
"จริงจริง คนที่หนูเขียนถึง เขาอยู่บ้านหลังโน้นค่ะ" เธอพูดพลางเอามือชี้ไปตั้งโน่น
"หนูขอโทษจริงจริงที่ทำให้คุณเข้าใจผิด แย่จัง ไอ้เราก็นึกว่าพี่สมนึกจะได้ รอจดหมายตอบอยู่เนี่ย ไม่มีมา ไม่มีมา" เธอบ่นพึมพำ พลางยกมือไหว้ขอโทษผมเป็นการใหญ่
....ผมรู้สึกเหมือนโลกหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้น....
ภายในระยะสามสี่เดือนที่ผมคิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษในใจของคนคนหนึ่ง จริงจริงแล้ว เป็นเรื่องสมมติ และเข้าใจผิดไปเองหรือนี่.....
ผมเอามือกุมขมับทั้งสอง ปากก็ขมุบขมิบ ในใจนึกอยากจะร้องเพลงยิ่งนัก....
"และถ้าคุณไม่ว่าอะไร หนูขอจดหมายของหนูคืนด้วยนะคะ" นั่น นึกว่าจะลืม...
ผมได้แต่ยิ้มแห้งแห้ง ลุกไปหยิบจดหมายแต่โดยดี ทุกฉบับผมเก็บไว้ในกล่องรองเท้าอย่างแน่นหนา ราวกับกลัวว่าจะหายไป ผมส่งคืนเธอโดยไม่มีอิดออด....
"อ้ะ" ผมยื่นกล่องนั้นให้เธอ เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ผมเห็นรอยยิ้มที่สดใสอยู่ในดวงตาธรรมดาธรรมดาคู่นั้น...
"ขอบคุณค่ะ" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่เธอบอกกับผม ก่อนจะเดินออกจากประตูบ้านไป....
.......................
...ภาพเธอค่อย ๆ หายลับไปอย่างช้า ๆ ...
ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านอย่างเงียบงัน บอกไม่ถูกว่าอารมณ์ในขณะนั้นเป็นอย่างไร จะว่าดีใจที่เรื่องที่ผมสงสัยหมดไปได้สักที หรือจะเสียใจ ผมเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจนัก....
...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกคือ ผมสบายใจขึ้น...
ผมคงจูงลูกแมวข้ามถนนไปได้อย่างสนิทใจขึ้น
และจราจรหน้าปากซอย คงจะหายเคืองผมเสียที..
และบางที...ผมจะอาจจะนึกถึงข้อความในจดหมายนั้นบ้าง...เป็นบางคราก็ตาม...
...............................
เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง....
พร้อม ๆ กับเสียงบุรษไปรษณีย์ที่คุ้นหู
"คุณครับ..รับจดหมายด้วยครับ"
..................................... โดยคุณ :
ชมพูพันธุ์ทิพย์ - [23:00:25 1 เม.ย. 2544] |