กระดานความรู้สึก


คุยกับประภาส มติชนหน้า 14 ประจำวันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2543 "เรื่องราวบนแผ่นไม้"
คุยกับประภาส มติชนหน้า 14 ประจำวันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2543 "เรื่องราวบนแผ่นไม้"
"เรื่องราวบนแผ่นไม้"

วันนี้ต้องขออนุญาตผ่านผู้อ่านเขียนถึงเรื่องราวที่ค่อนข้างอยู่ในแวดวงใกล้ตัวสักวัน อย่าว่าผมเลยนะครับ สัปดาห์ที่ผ่านมานี่ใจมันยังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่

เรื่อง "คอนเสิร์ตเฉลียง เรื่องราวบนแผ่นไม้" ครับ

คนที่ไม่รู้จักเฉลียง หรือรู้จักห่างๆ ก็ขอให้คิดเสียว่าฟังผมเล่าเรื่องส่วนตัวเพลินๆ สักวันก็แล้วกัน คอนเสิร์ตเพิ่งแสดงจบไปเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่หอประชุมธรรมศาสตร์ เป็นคอนเสิร์ตสั่งลาของเฉลียง ถือเป็นการรวมตัวกันครั้งสุดท้ายของคนดนตรีกลุ่มนี้ครบทุกคนอย่างแท้จริงก็ได้

น้ำตาซึกกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุมครับงานนี้ รวมทั้งตัวผมเองด้วย โดยเฉพาะในรอบสุดท้าย

คนเรานี้ก็แปลกนะครับ จะว่ารู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นญาติโกโหติกาก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ แต่ความที่ผูกพันทางเสียงเพลงทางตัวหนังสือกันมาแสนนาน พอรู้ว่าจะไม่มีภาพอย่างนี้ให้เห็นอีก ก็เกิดอาการใจหายขึ้นมากะทันหันทั้งคนดูคนเล่น

ไม่มีใครตั้งตัวเพื่อจะเศร้ามาก่อนเลยครับ ด้วยความสัตย์จริง

น้องคนหนึ่งถามผมว่า ทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น ทั้งๆ ที่นักร้องนักดนตรีเฉลียงก็ไม่ใช่ขวัญใจวัยรุ่นอะไร คนดูส่วนใหญ่ก็เลยวัยรุ่นมาแล้ว และเวลานี้เองก็ไม่ใช่เวลาที่เฉลียงและเพลงเฉลียงอยู่ในกระแสนิยมแต่อย่างใด

ทำไมอยู่ดีๆ จึงรู้สึกอาลัยขึ้นมาอย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่เฉลียงทุกคนก็หยุดบทบาททางดนตรีในนาม "เฉลียง" ไปตั้งนานแล้ว และเกือบทุกคนก็ยังมีงานดนตรีในชื่ออื่นๆ อยู่ไม่เคยขาดช่วง

ผมบอกน้องคนนั้นไปว่า น่าจะเป็นเพราะ "แรง" ที่ผู้คนส่งให้กันในหอประชุมมันเยอะมาก ใครอยู่ในนั้นอย่างไรก็ต้องรับได้

"แรง" ที่ผมว่านั้นผมไม่ได้หมายความถึง "แรง" เหมือนอย่างที่เราใช้ยกของหรือผลักประตูนะครับ

มันเป็น "แรง" ที่มนุษย์ส่งผ่านให้กัน โดยส่งผ่านทางไหนก็ได้ ผมมักจะพบ "แรง" พวกนี้อยู่เสมอในโรงละครในหอประชุมหรือในสนามกีฬา

คงเคยนะครับเวลาที่เราไปฟังนักพูดบางคน หรือวงออร์เคสตร้าบางวงเล่น แรงที่พวกเขาส่งมาหาคนดูมันมีพลังให้เรารู้สึกอะไรมากมาย ทีนี้พอความรู้สึกของเราถ้ามันมีมากพอ มันจะส่งกลับไปบนเวทีโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องปรบมือ ไม่ต้องส่งเสียงอันใดก็ได้ แต่เชื่อไหมครับว่าคนบนเวทีก็สามารถรับ "แรง" นี้ได้

สมัยที่ผมเล่นละครเวที รอบที่คนเล่นจะแสดงได้ดีเป็นพิเศษมักจะเป็นรอบที่คนดูมีปฏิกิริยากับละครนั้นมากกว่ารอบอื่น "แรง" ที่ว่าแบบนี้คนที่รักกันหรือเกลียดกันก็สัมผัสมันได้โดยไม่ต้องออกปาก หรือทำหน้าตาให้เห็นเลย จริงไหมครับ

มีปรากฏการณ์เล็กๆ ปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งมีคนเคยถามผมอยู่เหมือนกัน แล้วผมก็เอาเรื่อง "แรง" นี้แหละครับอธิบายเขาไป คำถามเขาถามว่าทำไมเวลามีคนแอบมองเราแล้วเราถึงรู้ได้ทั้งๆ ที่เราก็มองไม่เห็น ผมก็เลยบอกเขาไปว่า คนแอบมองเราเขาไม่ได้มองเปล่าๆ นี่ครับ เขาส่งความรู้สึกอะไรบางอย่างมาด้วย

เคยแอบมองใครสักคนไหมครับ "แรง" ที่ส่งไปโดยไม่รู้ตัวจะทำให้คนที่ถูกเราแอบมองรู้สึกได้ และหันกลับมามองเรา

และด้วย "แรง" อันนี้นี่เองที่ทำให้คนทั้งหอประชุมธรรมศาสตร์มีความรู้สึกร่วมกันอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ท่านผู้อ่านที่ไปดูคอนเสิร์ตจะนึกออกว่า ทั้งๆ ที่ก็เพิ่งหัวเราะมาอย่างหนักกับนิทานในคอนเสิร์ตอยู่เลยนี่นา ทำไมมาน้ำตาซึมตอนจบ

ในคอนเสิร์ตนี้ผมพบผู้คนมากมายทั้งแฟนเพลงและคนรู้จัก มีคำถามหลายคำถามถามผมขณะที่ทักทายกัน ขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟังครับ มีคนหนึ่งถามผมว่า ผมตั้งใจเขียนเพลง "เรื่องราวบนแผ่นไม้" ให้คนฟังร้องไห้หรือ

พูดไม่ออกตอบไม่ได้เลยครับในตอนนั้น รู้สึกตัวเองเหมือนเป็นจำเลยอย่างไรไม่รู้ ผมว่าเรื่องอย่างนี้ต่อให้ตั้งใจให้เป็นยังทำยากเลยครับ

เพลงทุกเพลงที่เขียนผมรู้สึกอย่างไรผมก็เขียนไปอย่างนั้นครับ

แต่ถ้ามันไปแตะบางส่วนของจิตใจของใครเข้า ก็ขอให้รู้ไว้เลยว่า ก่อนหน้านั้นมันได้อาบด้วยจิตใจผมจนชุ่มโชกแล้ว

อย่างที่ผมบอกไปที่ไหนสักแห่ง วันนี้ที่ผมกลับมาฟังเพลงเฉลียง บางอารมณ์ผมก็ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นเพลงที่ผมเขียนหรือเป็นเพลงที่เพื่อนๆ ของผมร้องบรรเลงกัน บางวินาทีผมกลับรู้สึกว่า "ปรากฏการณ์เฉลียง" ไม่ได้ถูกสร้างโดยผมหรือเพื่อนนักดนตรีของผมบนเวทีทั้งเจ็ดคนเลย มันถูกสร้างโดยคนหลายคนอีกมากมาย โดยเฉพาะคนฟัง คนฟังนั้นแหละครับคือ "แรง" อันยิ่งใหญ่ สิ่งที่คนสร้างนั้นมันใหญ่กว่าคนเยอะ

อีกคำถามหนึ่งถามผมว่า ทำไมเฉลียงถึงเพิ่งมาสั่งลากันตอนนี้ ตั้งใจจะสร้างกระแสหรือเปล่า คำถามนี้ผมไม่ได้ยินด้วยตัวเองนะครับ มีคนนำมาเล่าอีกทีหนึ่ง

ก็คงต้องตอบว่าไม่รู้จะสร้างไปทำไมไอ้กระแสนี่ เทปก็เลิกออกมาขายตามแผงตั้งนานแล้ว สร้างไปก็ไม่เห็นจะก่อประโยชน์อันใด ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติครับ ถ้าตั้งใจหรือวางแผนก็คงจัดคอนเสิร์ตสั่งลาไปตั้งแต่พวกเขาเลิกวงใหม่ๆ แล้ว ทุกอย่างมันลอยไปตามลมไม่ได้วางแผน ไม่ได้ตั้งใจ

ลอยไปตามลมเหมือนขนนกที่ลอยละลิ่วในฉากแรกของหนังเรื่อง ฟอเรสกั๊มพ์ นั่นแหละครับ

คำถามต่อมา คนถามเพิ่งมาดูคอนเสิร์ตของเฉลียงเป็นครั้งแรก เขาถามว่าทำไมเขาจึงรู้สึกอาลัยอาวรณ์เหมือนคนที่รู้จักกันมาแสนนาน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเขาก็เพียงแค่ฟังเพลงของเฉลียงมานานแล้วเท่านั้นเอง ผมไม่ได้ตอบเขาในตอนนั้นเลย แต่จะตอบในตอนนี้ว่า ผมว่านี่ไม่ใช่คำถามครับ มันน่าจะถูกนับเป็นคำตอบเลยด้วยซ้ำว่า คนเรานั้นอาจรู้สึกผูกพันกับตัวหนังสือหรือเสียงดนตรีได้มากมาย

ผมนั้นอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสอยู่หลายเล่มทั้งงานเขียนของท่าน ทั้งการตีความปริศนาธรรมของท่าน ทั้งบทสนทนาธรรมของท่าน

ผมจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าอยู่ใกล้ชิดท่าน ใกล้ชิดเหมือนตัวเองเป็นเด็กวัดที่วิ่งเล่นอยู่ใต้กุฏิท่าน ได้ยินเสียงท่านสั่งสอนผู้คนบนกุฏิอยู่เนืองๆ

ในชีวิตผมไม่เคยพบท่านแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันที่หนังสือพิมพ์พาดหัวว่าท่านพุทธทาสละสังขารแล้ว ผมร้องไห้เป็นเผาเต่าเลยครับ

อีกคำถามหนึ่งถามว่า จนคอนเสิร์ตสุดท้ายแล้วทำไมผมไม่ขึ้นเวทีไปร่วมร้องเพลงกับเฉลียงสักที ผมบอกเขาไปว่า ผมเริ่มต้น "เฉลียง" ด้วยการเป็นคนเบื้องหลัง ถึงวันสุดท้ายผมก็ยังอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่จะว่าไปแล้วในเหตุผลที่ลึกที่สุดของผมที่อยากจะบอกก็คือ ผมอยากเห็น "เฉลียง" แสดงจนวินาทีสุดท้ายของคอนเสิร์ตนี้เหมือนที่ผมเห็นมาตั้งแต่วันแรกผมคิดว่าผมเป็นคนดูของเฉลียงจริงๆ ก็เท่านั้นเอง

แต่ในที่สุดผมก็ต้องขึ้นไปบนเวทีในรอบสุดท้ายของการแสดง ผมถูกนิติพงษ์ เรียกขึ้นไปบนเวทีตอนที่คอนเสิร์ตเลิกแล้ว แต่เนื่องจากคนดูยังไม่ยอมออกจากหอประชุม

นิติพงษ์เรียกผมเหมือนที่เขาเคยเรียกไปร่วมวงเหล้าตอนเป็นน้องใหม่สถาปัตย์ด้วยกัน มันกันเองมากต่อหน้าสาธารณชน มากเสียจนผมคิดถึงอดีตอันหอมหวาน

มีคำถามหนึ่งถามผมหลังจากนั้นว่าผมคิดอะไรอยู่หรือตอนมองกลับมาที่คนดู

ผมคงจะไปแสดงท่าทางอะไรออกไปสักอย่างเป็นแน่ในตอนนั้น ถึงได้มีคำถามนี้เกิดขึ้นมา ความจริงผมรู้สึกอะไรอยู่อย่างหนึ่งจริงๆ ตอนที่มองมาที่คนดู แต่ไม่ได้พูดออกมาในเวลานั้น ผมเห็นอะไรรู้ไหมครับ

ผมมองเห็นเด็กน้อยสารภีของผมซึ่งโตเป็นคุณครูสารภีแล้วยืนปะปนอยู่กลุ่มคนดู ผมรู้ว่าเธอและเพื่อนของเธอจะใช้แรงของพวกเธอช่วยกันดูแลประเทศของผมประเทศของพวกเธอต่อไป
โดยคุณ : dHv90b(พิมพ์มาแปะ)
โดยคุณ : dHv90b(พิมพ์มาแปะ) - [14:07:25  12 ธ.ค. 2543]

ความคิดเห็นที่ 1
อยากคิดเรื่องนี้ต่อจากพี่จิก

ความจริงแล้ว
เราทุกคนอยู่ใน"สนามของแรง"อยู่ตลอดเวลาครับ
สนามของแรงที่ล้อมรอบเรามีมากมาย
เราจะรู้สึกถึงแรงนั้นๆหรือไม่...ผมคิดว่าอยู่ที่ 2 ปัจจัย
ปัจจัยแรก คือ ความเข้มของสนาม
ปัจจัยที่สอง เรามีตัวรับ(detector)ที่รับแรงชนิดนั้นได้หรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น ทีวี วิทยุหรือโทรศัพท์มือถือ..ถ้าคลื่นแรงๆหรืออยู่ใกล้สถานีส่งละก้อ..จะรับชัด
แต่ถึงแม้สนามสัญญานของทีวีจะแรงแค่ไหน..โทรศัพท์มือถือคงไม่รับรู้ด้วย

ในห้องประชุมที่แสดงคอนเสิร์ต..เฉลียง
สนามของแรงที่กระทำต่อกัน(ทั้งคนดูและคนรับ)มันเข้มมากครับ...
ไม่ต้องพูดถึงการจูนเครื่องส่งและเครื่องรับว่าจะตรงกันหรือไม่
เพราะมันตรงกันตั้งแต่ที่บ้าน...ตั้งแต่ยังไม่มีการส่งคลื่นแล้ว
ดังนั้น...ผมจึงไม่สงสัยเรื่องความแรงของสนามที่มีเสียงเพลงเป็นสื่อ..ในหอประชุม...ในทุกรอบ
แรงกระแทกมันต่อเนื่องเป็นวงกว้าง...เหมือนแหนในสระที่ถูกก้อนหินลงไปกระทบ
และถ้าวัดที่ตัวผม
แรงนั้นมันยังทำให้น้ำกระเพื่อมอยู่
ยังไม่นิ่งสนิทนัก....
แต่ก็เป็นแรงกระเพื่อมที่เพิ่มออกซิเจนให้น้ำในสระ
ก่อนที่มันจะนิ่ง..จนเน่า.
......................
ผมคิดต่อว่า
เราคงต้องได้รับแรงต่างๆ..ที่สนามของแรงอยู่รอบตัวเราทุกวัน
เบาๆจนไม่รู้สึกบ้าง..หรือแรงจนดันน้ำตาให้ไหลออกมาบ้าง
ผมจะเก็บประสบการณ์แรงกระแทกจากเฉลียงไว้เป็นภูมิต้านทาน
หากจะต้องพบกับแรงกระแทกอื่นๆอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..หากเป็นแรงลบ
จะได้มีแรงกระแทกจากเฉลียง..ซึ่งเป็นแรงบวกช่วยบาลานซ์แรง...ให้ประคับประคองชีวิตไปได้อย่างเป็นปกติ
ไปเซออกนอกเส้นทางไปมากนัก...
........
ดีใจกับคนที่ถูก Chalaing shockwave กระแทกแล้วกระแทกอีกครับ :-)

และอยากบอกพี่จิกและพี่เฉลียง..ว่า
ถ้าไม่ส่งแรงกระแทกออกมาบ้าง
น้ำในสระมันจะเน่า

อย่าปล่อยให้น้ำเน่าเลยนะครับพี่ :-)


โดยคุณ : ไส้เดือนดิน - [ 10 ธ.ค. 2543 , 21:12:51 น.]
โดยคุณ :ตามมาแปะเรื่องเดียวกัน - [15:00:05  12 ธ.ค. 2543]

ความคิดเห็นที่ 2
เห็นด้วยกับคุณไส้เดือนดินค่ะ เป็นอีกคนที่ได้รับแรงค่ะ แม้เมื่ออ่าน เรื่องราวบนแผ่นไม้ที่พี่จิกเขียน อยากให้พี่ ๆ เฉลียง ส่งแรงมาอีกบ้าง อีกซัก 7 ปี 6 เดือนก็ได้ค่ะ อย่าปล่อยให้น้ำในสรธขาด ออกซิเจนนาน
โดยคุณ :หน่อย - [17:54:57  12 ธ.ค. 2543]

ความคิดเห็นที่ 3
ขนาดอยู่ไกลจากหอประชุมใหญ่หลายพันกิโลเมตร ยังสัมผัสถึง"แรง"นั้นได้เลยค่ะ
ได้อ่านหลายๆกระทู้ที่พูดถึงคอนเสิร์ตครั้งนี้ ยังแอบน้ำตาไหลตามเลย
"แรง"นี้ แรงจริงๆ
โดยคุณ :ดอกแก้ว - [18:54:08  12 ธ.ค. 2543]

ความคิดเห็นที่ 4
แรงไม่หมดง่ายๆ เสียด้วย
โดยคุณ :Oakyman - [0:30:27  13 ธ.ค. 2543]

ความคิดเห็นที่ 5
พี่ๆ เฉลียงและญาติๆ คงปลื้มใจทึ่มีคนรักและชื่นชมงานของเค้ามากมายถึงเพียงนี้

แต่พี่เค้าอาจจะดีใจยิ่งกว่า ถ้าการโยนหินของพี่ๆ เค้าจะสร้างคนโยนหินใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าจะเป็นแค่การสร้างแรงคลื่นที่ท้ายที่สุดก็จะกระทบฝั่งหายไป การเพียงแค่รับรู้ชื่นชมความสวยงามที่คนอื่นสร้างไว้เฉยๆ คงไม่เพียงพอที่จะรับฝากโลกใบนี้จากพี่ๆ เค้าไว้ได้ เราคงต้องคิดต้องสร้างแรงใหม่ๆ ต่อไปด้วย เพราะแม้ว่างานที่พี่ๆ สร้างขึ้นมาแล้ว จะอยู่ไปได้อีกนานแสนนาน แต่พี่ๆ เค้าคงไม่สามารถอยู่ค้ำฟ้าเพื่อสร้างงานใหม่ดีๆ ให้คนเสพได้ตลอดกาล
ว่าไหม?
โดยคุณ :timaj - [11:10:16  13 ธ.ค. 2543]

ความคิดเห็นที่ 6
พี่ๆคะ สสารไม่มีการสูญหาย แรง นั้นก็จะยังอยู่ตลอดไปค่ะ ที่เชียงใหม่พี่ๆไม่ร้องไห้ แต่คนดูบางคนร้องไห้ แม้ว่าบีจะไม่ได้ร้องไห้กับเค้า แต่ก็รับรู้ถึง แรง นั้นค่ะ
โดยคุณ :Br - [10:51:42  14 ธ.ค. 2543]

ความคิดเห็นที่ 7
บอกตามตรงเลยนะคะ ว่าอ่านข้อความ
พี่จิกจบแล้วน้ำตาซึม(มาก) ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน บอกได้คำเดียวว่า
ทั้งดีใจที่ได้รู้จักและผูกพันกับเฉลียงมานานแล้ว รวมทั้งเสียใจที่จะไม่มีโอกาสได้เจอกับพวกเขาทุกคนอีก ถ้าทำได้อยากขอร้องไว้ตรงนี้เลยนะคะ อย่าให้คำอำลาเป็นจริงเลยค่ะ ขอแค่ให้ต่างฝ่ายต่างไปทำอะไรของตัวเอง พอคิดถึงกันก้อกลับมาเจอกันอีก เพื่อนจะทิ้งเพื่อนได้ลงคอเลยหรือคะ
โดยคุณ :naesai - [14:09:19  14 ธ.ค. 2543]

ความคิดเห็นที่ 8
แล้วคุณจะเชื่อกันไหมหละครับว่า แรงนั้นยังส่งมาอยู่จนถึงทุกวันนี้  จะสูงขึ้นทุกครั้งที่ได้ดูแผ่นบันทึกภาพการแสดงคอนเสริต์เรื่องราวบนแผ่นไม้
โดยคุณ :อัญญา - [15:17:25  12 ม.ค. 2546]

ความคิดเห็นที่ 9
เชื่อค่ะ ดูกี่ครั้งน้ำตาซึมทุกที

ตอนที่ยังไม่ได้ดู มีพี่ชายคนหนึ่งซึ่งยังไม่รู้จักกันดี บอกดิฉันว่าเธอน้ำตาซึม ร้องไห้ ตอนเธอดู วีซีดี จบ ดิฉันขำและคิดว่าอีตาพี่ชายคนนี้น่าจะอ่อนไหวสุด ๆ เอ หรือเธอจะเป็นเกย์ ^0^

แต่เมื่อได้ดูเอง ดิฉันน้ำตาไหลพราก ๆ ด้วยรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ดุ ด้วยรู้สึกเสียดายที่ได้ยินว่าจะเป็นคอนเสริ์ตครั้งสุดท้าย  ด้วยรู้สึกอะไรอีกมากมาย

การดูคอนเสริ์ตเฉลียง มันใม่ใช่แค่การไปดูพี่ ๆ ร้องเพลงและเอนเทอร์เทน คนดู ทุกเพลงที่ถูกร้องออกมา มันทำให้ดิฉันคิดถึงอดีต คิดถึงเรื่องราวตอนได้ฟังเพลงนั้นครั้งแรก คิดถึงชีวิต ณ ขณะนั้น

คิดถึงการพยายามตีความเพลงกล้วยไข่ของเด็ก ประถมต้น  ที่คิดเท่าไร ก็งง ว่าทำไมต้องกล้วยไข่ ไม่ใช่กล้วยน้ำว้า หรือกล้วยหักมุก

คิดถึงว่า เมื่อก่อนเด็กคนนั้นเธอ ซื่อขนาดสงสัยว่าทำไม คนแต่งเพลง กล้าที่จะใส่คำว่าตูดลงไปในเพลง เพราะว่าคุณครูของ เธอ บอกเธอว่า ตูดเป็นคำไม่สุภาพ

คิดถึงความรู้สึกที่ดี๊ใจ ดีใจ ของเด็กคนนั้น ที่มีคนชอบกินไข่เจียวเหมือนเธอ ชอบถึงขนาดเอาไปแต่งเพลง  ( ตอนนั้นเธอยังเด็กเกินที่จะอินกับสิ่งที่พี่จิกต้องการจะสิ่อจริง )

คิดถึงบรรยากาศที่บ้านเก่าของเธอตอนเธอนั่งดู คอนเสริ์ต เฉลียง ที่พี่ดี้ แต่งชุดราชปะแตน  และในคอนเสริ์ตเดียวกันนั้นก็มีการทอดไข่เจียวบนเวที ( ซึ่งปัจจุบันนี้เธอก็งงอยู่ ว่าพี่ดี้ทำจริง หรือเธอ จำผิด )

คิดถึง ตอน ม ต้น คิดถึงเพื่อนของเธอคนหนึ่ง ที่ดูเหมือนเป็นเด็กเรียบร้อย แต่แปลง เพลงอยากมีหมอนซะ เธอตะลึง  ไม่สามารถพิมพ์ออกมาให้สาธารณะชนอ่านได้

คิดถึงความรู้สึกผิดหวัง ตอนเธอตั้งหน้าตั้งตารอดูรายการโลกดนตรีเพื่อจะฟังเพลงเฉลียงแบบจุใจ แล้วพบว่าทั้งชั่วโมง พี่ ๆ เล่นแค่ห้าเพลง  ที่เหลือ คุย  !!!  

คิดถึงตอนเธออยู่ ม ปลาย ที่เธอรู้สึกอิจฉาปี๊ดตอนเพื่อนเธอโชว์รูปที่ถ่ายคู่กับพี่นก จากงานคอนเสริ์ตของเฉลียง เพราะเธอไม่มีตังค์ดู

คิดถึงตอนอยู่มหา ลัย ที่ เพื่อนเธอชวนไปดูคอนเสริ์ตเฉลียง ที่ศูนย์วัฒนธรรม รอบซ้อมใหญ่ ที่แม้มันบอกเธอว่าฟรี๊ ฟรี แต่เธอก็ไปไม่ได้ เพราะจากศูนย์วัฒนธรรม มาบ้านเธอ เธอกลับบ้านไม่เป็น




โดยคุณ :ใบไม้ - [13:45:06  21 ก.ย. 2546]

ความคิดเห็นที่ 10
กระผมอยากส่งอีเมลล์ถึงพี่ประภาสส่งได้ที่อีเมลล์อะไรครับ
               
                                             ขอบพระคุณอย่างสูง ครับ

                                                                   นายนก
โดยคุณ :นายนก - [14:49:33  22 ก.พ. 2551]

ขอเชิญร่วมเสนอแนะความคิดเห็นครับ
จาก :
email :
icq :
รูปภาพ :

รายละเอียด

อาการ :



กรุณาคลิก "ส่งข้อมูล" เพียงครั้งเดียวครับ....