พี่จิกถูกพาดพิง!
"นักคิดของนักคิด"
'แนวคิดแบบประภาส และการสร้างแบรนด์แห่งความสุข'
ในโลกของการทำงาน ธนา เธียรอัจฉริยะ คือรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ค่ายโทรศัพท์มือถือ 'ดีเทค' ที่ทำให้ยี่ห้อของการเป็นมวยรอง ในหลายปีที่ผ่านมากลายเป็นแค่อดีต ด้วยการพลิกฟื้นแบรนด์จากคำว่า 'Happy' เพียงคำเดียว แน่นอน.กลยุทธ์ง่ายๆ แต่หนักแน่นนี้ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยการ 'คิด' อย่างแท้จริง
ในโลกของการใช้ชีวิต เขาคือสามีอันอบอุ่น พ่อของลูกสาว 2 คน ที่มีความสุขกับการตบก้นให้ลูกนอนทุกวัน และไม่คิดอยากสะสมวัตถุอะไรให้มากไปกว่านี้
เมื่อไหร่ก็ตาม ที่การทำงานกับการใช้ชีวิตเป็นเรื่องเดียวกัน เราก็จะสามารถค้นพบความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่.....
"วงเฉลียง หนังสือขอชื่อสุธีสามสี่ชาติ ละครสถาปัตย์ คือสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงผู้ชายที่มีอิทธิพลกับชีวิตผมมากคนหนึ่ง...ประภาส ชลศรานนท์
คุณประภาสเป็นนักคิดที่จับต้องได้จริงๆ ความเป็นคนธรรมดา ง่ายๆ ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องที่เข้าใจยากให้มนุษย์ที่ไม่ค่อยมีความอดทนอ่านหนังสืออย่างผมเข้าใจได้ ผมชอบทุกอย่างที่เป็นตัวตนของเขา เพลง งานเขียน หรือบทสัมภาษณ์ ทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้ความเป็นประภาสมากขึ้นเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกว่าเราต้องหัดมองโลกอย่างแง่ดีและสดใส และต้องหัดเป็นนักสังเกตการณ์ให้มาก เพราะวิธีคิดที่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวัน มันไม่ได้เป็นเรื่องปรัชญาหรือศาสนาอันยิ่งใหญ่ แต่เป็นเรื่องของการมองโลกทีละนิดทีละหน่อยให้เชื่อมโยงถึงกัน
ตอนแรก ๆ ที่ผมอ่านงานของคุณประภาส ผมรู้สึกว่าเราสามารถคิดอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ เพราะสมัยเป็นนักเรียน เราไม่เคยถูกโรงเรียนสอนให้คิดแบบนั้น ผมได้เรียนรู้ว่าการคิดอะไรแบบสุดโต่ง บ้า ๆ บอ ๆ อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่กลับทำให้เราได้คิดนอกกรอบจากที่เราเคยคิดมาตลอดชีวิต
คุณประภาสเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาไม่เคยวางแผนไว้เลยว่าตัวเองจะต้องเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง เขาแค่ชอบเขียนหนังสือเท่านั้นเอง เรื่องนี้ทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า การที่เราทำงานทุกวันนี้ เพราะเราอยากรวยหรือเราชอบทำงานกันแน่ มันเป็นเรื่องที่ทำให้วิธีคิดของผมเปลี่ยนไปด้วยประโยคสั้นๆเพียงไม่กี่คำ
วิธีคิดแบบคุณประภาสอีกอย่างคือ การโยนข้อคิดดี ๆ มาให้เราคิดต่อ และกระตุ้นให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างในโลกไม่มีสูตรสำเร็จ ความคิดนี้เหมือนกับชื่อหนังสือ 'หลังตู้เย็น' ของเขานั่นเอง คนเราชอบมองเพียงแต่ด้านหน้าของทุกอย่างที่อยู่รอบตัว แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างบนโลกใบนี้มีมุมหลายมุมให้เราค้นหาอยู่เสมอ
แนวคิดหลัก ๆ ที่คุณประภาสเน้นย้ำคือ 'การมี Passion ในการใช้ชีวิตและการทำงาน' ซึ่งเขาแปลคำว่า Passion ว่าความหลงใหลอย่างหัวปักหัวปำ ในองค์กรดีแทคนี้ ผมเลยคิดง่าย ๆ ว่าทำอย่างไรให้พนักงานทุกคนอยากมาทำงานด้วยความสนุกทุกวัน วันหนึ่งผมไปอ่านเจอเรื่องที่คุณประภาสเขียนเรื่องหอไอเฟล ซึ่งภายหลัง เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ผมชอบเล่าให้ลูกน้องในออฟฟิศฟัง เพื่อที่เขาจะได้ตั้งคำถามกับการมาทำงานทุกวันของตัวเองบ้าง
เรื่องมีอยู่ว่า นักข่าวไปสัมภาษณ์คนงานที่สร้างหอไอเฟลสามคนว่า พวกเขารู้สึกอย่างไร ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานนี้ คนแรกตอบว่า มาทำงานเพราะได้ค่าแรงดี คนที่สองตอบว่า เพราะมีครอบครัวที่ต้องหาเลี้ยง เขาเลยต้องมาทำงาน ส่วนคนที่สามตอบว่า อยากทำงานนี้เพราะว่าเมื่อไหร่ที่สร้างหอไอเฟลเสร็จ สิ่งนี้จะกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และวิธีคิดแบบคนที่สามนี้แหละ คือตัวอย่างของคนที่ทำงานแบบเต็มไปด้วย Passion
เมื่อมองไปถึงจุดที่เป็นภาพใหญ่กว่าการบริหารคน ซึ่งก็คือการสร้างแบรนด์ ถ้าคุณสงสัยว่าความเป็นแบรนด์ Happy มาจากอะไร ผมตอบได้เลยว่ามาจาก "วงเฉลียง"
ก่อนหน้านี้เราอยู่ในช่วงที่แพ้สงครามทางการตลาด ทีมเล็กๆของเราเพิ่งมารับงานใหม่หลังจากที่ทีมเก่าถูกปลดออกไป ภาวะที่แทบจะไม่มีทางสู้ ทำให้เราคิดว่า ถ้างั้นก็มาทำอะไรที่สนุก ๆ กันดีกว่า เพราะยังไงก็ Noting to Lose อยู่แล้ว แทนที่จะไปทำวิจัยว่าตลาดข้างนอกเป็นอย่างไร เราก็มาคิดกันว่า เราอยากให้แบรนด์ดีแทคมีบุคลิกยังไง เมื่อคำตอบคือบุคลิกสนุก ๆ คล้าย ๆ วงเฉลียง เราก็เลยเอา'วงเฉลียง'เป็นตัวตั้งในการพัฒนาแบรนด์ ภาพการนอนเอกเขนกบนเก้าอี้ ยิ้มแย้ม เฮฮา และมีความเป็นไทย จึงกลายเป็นบุคลิกของแบรนด์ Happy
ถ้าคู่แข่งทำอะไรที่แข็ง ๆ เราก็ควรจะทำอะไรที่นุ่ม ๆ ถ้าเขาจะพูดภาษาธุรกิจที่ Segmentation เราก็จะพูดภาษาชาวบ้าน ภาวะการเป็นมวยรองในโลกของธุรกิจ ทำให้ผมเชื่อเรื่อง 'กันดารคือสินทรัพย์' เราพยายามมองหาข้อดีในสิ่งที่เรามี ซึ่งต้องใช้สายตาแบบ Positive Thinking มาก ๆ บางครั้งการแข่งขันในโลกธุรกิจทำให้เราคิดซับซ้อนเกินไป ผลที่ตามมาคือกระบวนการตัดสินใจเยอะมากขึ้น
แต่แล้ววันหนึ่งผมก็คิดได้ว่า การที่เราทำธุรกิจแล้วยังรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป นั่นเป็นเพราะเราทำอะไรที่ยากเกินไป เพราะรู้เยอะเกินเหตุ ซึ่งจริง ๆ แล้ว การทำเรื่องง่าย ๆ ให้ออกมาดีต่างหากคือความยากที่สุด และเมื่อเราหัดเรียนรู้ที่จะมองโลกแบบไม่ซับซ้อน เราก็จะเข้าใกล้กลุ่มลูกค้าของเราได้มากขึ้น ผมเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ประโยชน์จากการคิดแบบ "อื่น ๆ อีกมากมาย"
นอกจากนี้แล้ว สิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตท่ามกลางทุนนิยมอย่างมีความสุขคือ เราต้องหาจุดสมดุลของทุกอย่างให้เจอ ความสำเร็จของแบรนด์ Happy อาจไม่ใช่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นภาวะที่ทุกอย่างสมดุล ลูกค้ามีความสุข คนลงทุนมีความสุข ทุกอย่างในวงจรเป็นเหมือนลูกบอลกลม ๆ ที่กลิ้งไปข้างหน้าโดยไม่สะดุดล้ม.....และ ฯลฯ....."
สนใจอ่านต่อที่ GM 369 VOL.23 APRIL 2009 หน้า 222 มีอีกหลายนักคิดของนักคิด
โดยคุณ :
two ด - คนรวยเวลา - [11:24:06 22 เม.ย. 2552] |